การค้นพบตนเองชุดที่ 1
เรื่อง:การหายใจที่ถูกวิธีและประณีต (รูปดัมเบลนั้นของ อ.นิช
ครับ)
(ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 1 ซึ่งจะมีเนื้อหาเพิ่มเติมมากขิ้น
มีดังนี้
1.ปรับปรุงในส่วนการเรียบเรียงให้ละเอียดกว่าเดิมยิ่งขิ้น
2.มีการแบ่งเป็น 2 ส่วนชัดเจน คือ
1.ส่วนของวิชาการ (ก็ที่มีอยู่แล้ว)
2.ส่วนของการปฏิบัติจริง(อันนี้จะเพิ่มเติม)
3.ในส่วนวิชาการจะมีการเพิ่มเติมดังนี้
3.1.มีการเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การใช้น้ำหนักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ (เช่น ดัมเบล
แต่ถ้าไม่มีก็ใช้อย่างอื่นได้)
3.2.อธิบายในส่วนวิชาการต่างๆ ให้เข้าใจง่ายขิ้นครับ
3.3.อธิบายความเกี่ยวข้องระหว่างการกักลมอัสมิตากับวิทยาศาสตร์
(ข้อนี้ผมคิดว่าสำคัญสุดเพราะจะทำให้คนเข้าใจง่ายขิ้นว่า คืออะไรกันแน่ )
ขอทวนใหม่เล็กน้อยครับ
กระผมได้ทำเผื่อไว้สำหรับทั้งบุคคลที่ทำอยู่แล้วแต่ไม่เข้าใจและสำหรับบุคคลที่สนใจที่จะทำนะครับ
ตัวกระผมเองได้ปฏิบัติจริงตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมแต่มีการเตรียมพร้อมร่างกายมาตั้งแต่ต้นเดือนถึงกลางเดือนตุลาคมครับ
ผลคือ
ถ้าทำสม่ำเสมอทั้งเช้าและก่อนนอน(แรกๆจะไม่เจอผลที่ชัดเจนเท่าไรนัก)
ร่างกายจะรู้สึกง่วงน้อยลง หาวน้อยลง
(ถ้าไม่จริง คนแบบกระผมที่มักนอนไม่ถึง 6 ชั่วโมงคงตื่นมาแล้วมาง่วงในที่ทำงานอะครับ)
ปล.ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ พยายามอย่านอนน้อยนะ ที่กระผมนอนดึกเพราะ
มีอะไรที่ต้องทำมากมายจริงๆครับ
หมายเหตุ:
ใครจะทำ อย่าทำด้วยตนเองนะครับ ถามผู้รู้ก่อนนะ
(ที่กระผมแท็กไว้นั้นแหละครับ)
จะถามกระผมผมก็พอมีความรู้ที่จะตอบได้นะ (ความรู้พื้นฐาน)
แต่กระผมมีความรู้สู้ที่กระผมแท็กไม่ได้เลย
ที่ไม่ให้ทำด้วยตนเองเพราะส่วนมากทำผิดวิธีและก็จะมาโทษหลักการว่า
"ไม่ได้เรื่อง กักลมไรห่าว่ะ ไม่ได้เ..ี้ยไรเลย "
บางรายที่ทำไม่ถูกวิธี จะเริ่มมาพาลใส่คนที่เขาทำถูกวิธี
(บางคน) ว่า
"งมงายว่ะ ทำแล้วไม่ได้ผลเลยว่ะ เป็นต้น"
กระผมจะบอกว่า ของพวกนี้อยู่ที่ใจล้วนๆ ถ้าใจคุณพร้อม
อะไรๆก็พร้อมครับ
ขอแจ้งเพิ่มเติม:
ที่มีในที่นี้เป็นเพียงความรู้พื้นฐานเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมดครับ
เริ่มต้นเลยนะครับ
ก่อนที่จะทำควรเตรียมพร้อมร่างกายสักสามถึงเจ็ดวันด้วยการ
"หายใจแบบเข้าออกสุด"
อย่าหายใจทางปากและอย่าพยายามทำให้เกิดเสียงดังมากเกินไปเพราะไม่ใช่การหายใจตามธรรมชาติเลย
การหายใจควรทำทางจมูกเพราะลมหายใจจะเข้าปอดเต็มๆ
ส่วนการหายใจทางปาก
ลมหายใจจะเข้าท้องและการทำกักลมอัสมิตาไปก็จะแทบไร้ประโยชน์เพราะไม่ได้เป็นการหายใจที่มันควรจะเป็นครับ
ข้อแนะนำสำหรับมือใหม่หัดทำครับ
1.พยายามอย่าเน้นปริมาณจนลืมความละเอียด ตัวเลขสำคัญแต่ถ้าในแต่ละตัวเลขความละเอียดต่ำ
ก็เหมือนหน่วยความจำที่มีความจุต่ำๆแต่มีเยอะๆแหละซึ่งเปลืองพลังงานแต่
ถ้าน้อยแต่ละเอียดก็เหมือนหน่วยความจำที่มีความจุมากๆแต่มีจำนวนน้อยซึ่งใช้พลังงานน้อยกว่าครับ
2.เตรียมร่างกายด้วยการหายใจเข้าออกสุด ขั้นต่ำสามรอบถึงห้ารอบครับ
(ก็หายใจปกตินี้แหละแต่ให้สุด ย้ำให้สุด)
3.ให้หายใจออกสุดแล้วกระโดดตามคาบที่ต้องการและหายใจเข้าสุดและกระโดดตามคาบที่ต้องการเช่นกัน
(อย่าโดดไปหายใจไป เดี๋ยวจะเหนื่อยเอา จะหาไม่เตือนนะจ๊ะ)
4.ช่วงแรกๆถ้าทำแล้วตื่นตัวและรู้สึกว่าสมองทำงานมีประสิทธิภาพมากขิ้น ถือว่า
เป็นเรื่องปกติ
ปล.ใครไม่ได้ผลจากกักลมอัสมิตาช่วงแรกๆถือว่า
ทำผิดวิธีการนะครับ เพราะตัวผมเองทำมาแล้วและได้ผลดีด้วยครับ)
5.ทำตอนเช้าดีที่สุด (สามถึงห้ารอบกำลังดี
จะมากกว่าก็แล้วแต่ความสามารถของร่างกายที่จะทำได้)
เพราะจะรู้สึกง่วงน้อยลง (อย่างผมไปเน้นทั้งปริมาณและความละเอียดขั้นต่ำที่
30 30 ถึง 60 80
ฉะนั้นถ้ากระผมผมกักลมอัสมิตาเมื่อไรขั้นต่ำคือ 10-15 นาที นะครับ)
6.ทำตอนกลางคืนจะทำให้ออกซิเจนในร่างกายมีมากขิ้นและร่างกายจะต้องการนอนน้อยลงเพราะว่า
การหายใจคือการทำให้การแลกเปลี่ยนแก๊สซึ่งย้ำว่ามีผลต่อสมอง
ดีขิ้นและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
(อย่างผมนอนเที่ยงคืนถึงตีหนึ่งกว่าๆทุกวันแต่ไม่ง่วงก็เพราะกักลมอัสมิตานี้แหละครับ)
7.ถ้าทำตอนกลางคืนให้ทำอัตราต่ำกว่าตอนเช้าให้มาก
มิฉะนั้นจะนอนยากและเมื่อทำเสร็จให้หายใจเข้าออกสุดในขณะที่จะนอนเพื่อจะให้ร่างกายเข้าสู่โหมดการนอนปกติ
(ใครทำอัตราสูงๆกลางคืนก็หายใจเข้าออกสุดให้มากตาม มิงั้นนอนไม่หลับนะจ๊ะ)
ใครสงสัยอะไร ถามที่ความคิดเห็นได้เลยครับ
เดี๋ยวตอบทีละคำถามเลยครับ
(ถามซ้ำก็เน้นว่าจะตอบครับเพราะสภาพร่างกายและจิตใจในแต่ละคนไม่เหมือนกัน
คำตอบก็จะย่อมไม่เหมือนกัน
ส่วนใครที่เป็นเพื่อนกับผมหรือใครที่จะแอดผมมาแล้วผมรับเป็นเพื่อน
สามารถส่งข้อความที่แชทผมได้นะครับ ผมพร้อมตอบอยู่แล้วในเรื่องนี้ครับแต่ย้ำว่า
ผมรู้แค่พื้นฐาน เรื่องรายละเอียดลึกๆนั้นถามที่ผมแท็กไปนี้แหละครับ)
หลังจากนี้จะเป็นเนื้อหาจริงๆนะครับ (หลักวิชาการ)
วิชาการกักลมอัสมิตา
มี 2 ขั้นตอน ครับ
ขั้นตอนที่ 1
กักลมอัสมิตา
1.1
ได้แก่ หายใจออก-ออกให้สุด สุดแล้วเกร็งช่วงล่างของร่างกายให้แน่น
กลั้นใจไว้ กระโดดเขย่าๆๆๆ..นับ 1 ถึง 10 (ใหม่ๆ)
ชำนาญแล้วค่อยขยายเป็น ถึง 20-30 หรือมากกว่านั้นแล้วแต่ตนเองเลย
1.2
ได้แก่ ต่อจากข้อ 1.1 หายใจเข้า-เข้าให้สุด
สุดแล้วเกร็งช่วงบนลำตัวให้แน่น กลั้นใจไว้ กระโดด เขย่าๆๆๆๆ นับ 1 ถึง 20(ใหม่ๆ)
ชำนาญแล้ว ค่อย ขยาย เป็น 30-50 หรือมากกว่านั้นแล้วแต่ตนเองเลย
เหตุผล...เพื่อจัดระเบียบลมที่คั่งค้างไม่อยู่ในระเบียบของ
ธาตุลม 6 (อุทธัง,อัทโธ,กุจฉิ,
โกฏฐา, อังคมังคา,อัสสาปัสสา)
ซึ่งจะมีผลถึงเซลล์ 100 ล้านล้านเซลล์ทั่วร่างกายด้วย
จะมีการสันดาปดีขึ้น
ขั้นตอนที่ 1
นี้ ให้ทำ 2-5 ครั้ง ก่อนอาบน้ำ เช้า-ค่ำ
พอ...จะเพิ่มรอบพิเศษ ก็ตามใจเมื่อปฏิบัติเห็นผลด้วยตัวเองแล้ว
และจะทำให้ลมหายใจ (อัสสาปัสสา) ยาว ลึก
ละเอียดขึ้นตามธรรมชาติของสรีระอย่างแท้จริง(ยาวลึกปกติถ้ากำหนดเองเป็นอุปาทานครับ)
ขั้นตอนที่ 2
หายใจออก-ออกสุด
หายใจเข้า-เข้าสุด ทำตอนก่อนนอนหลับ
ทำจนหลับไปเองเพื่อปลูกฝังนิสัย การหายใจยาวประณีตให้ตนเอง
และใช้เวลาอย่างฝึกนั่งสมาธิเบื้องต้นด้วย
เจตนาของการกักลมอัสมิตา...คือการตรึงลมจาก ธาตุลม 6 กอง ได้แก่..
กองที่ 1.
อัทโธคมาวาต
..ลมพัดจากศรีษะลงสู่เท้า
....กองลมนี้ เกิดขึ้นพร้อมๆกับ การหายใจเข้า
กองที่ 2.
อุทธังคมาวาต
..ลมพัดจากเท้าขึ้นสู่ศรีษะ
....กองลมนี้เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการหายใจออก
กองที่ 3.
กุจฉิสยาวาต
...ลมพัดในท้อง
...กองลมนี้เกิดขึ้นพร้อมๆกับ
จังหวะการเปลี่ยนถ่ายลมหายใจเข้ามาเป็นลมหายใจออก
กองที่ 4.
โกฏฐาสยาวาต
..
ลมพัดในลำไส้ใหญ่
...กองลมนี้เกิดขึ้นพร้อมๆกับจังหวะเปลี่ยนถ่าย ลมหายใจออกมาเป็นลมหายใจเข้า
กองที่ 5.
อังคมังคานุสารีวาต
..ลมพัดในกายทั่วไป
...กองลมนี้เกิดพร้อมๆ กองลมสี่กองข้างต้น
กองที่ 6.
อัสสาสะปัสสาสวาต
..ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
...กองลมนี้เกิดจากจิตที่ช่องหัวใจ(หทยัง
คูหา)พิกัดที่ป้อนประจุไฟฟ้าให้เซลล์เม็ดเลือดซึ่งมีสี่สถานี
ควบคุมจังหวะการสูบฉีดที่สัมพันธ์กับสารรักษาระดับความดันจากตับ
และถุงน้ำดี
การตรึงธาตุลม 6 กอง โดยตั้งศูนย์กลางไว้ที่พิกัด
สันหลังระดับอกซึ่งเป็นศูนย์กลางของธาตุลมภายใน(อันโตวาโยธาตุ)ทั้งหมดของสรีระ
...ก็เพื่อการปรากฏของ ดอกบัวอนาหตะที่เป็นภาพนิมิตของธาตุลมภายในเอง
ไม่ใช่จินตภาพที่เราสร้าง
...แต่เมื่อลมถูกรวมศูนย์กลางไว้จากการปฏิบัติที่ถูกต้องสะสมอย่างต่อเนื่อง
ดอกบัวอนาหตะจะปรากฏเป็นนิมิตศูนย์กลางของธาตุลมภายในของสรีระทั้งหมดโดยธรรมชาติเองครับ
การปฏิบัติให้ถูกต้องจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
สีฟ้า แสดงถึงสุขภาพที่สมบูรณ์ที่ก่อเกื้อหนุนระหว่างสรีระกับธาตุลมภายใน
และ ธาตุลม คือตัวห่อหุ้มอุ้มธาตุน้ำ(สวาธิษฐาน..ระดับปลายองค์กำเนิด)
...ธาตุน้ำห่อหุ้มอุ้มธาตุดิน(มูลาธาร..กุณฑลินี)
โฆษณาส่งท้ายอีกนิด... (เป็นวิทยาศาสตร์ครับ)
การฝึกนี้คือการพยายามให้ลมที่ตกค้างและไปไม่ถึงระบบ
ภายใน(Metabolism) ไปให้ถึงระบบภายในนั้น
หลายคนงงว่าระบบภายในร่างกายคืออะไรกันแน่
Metabolism
คือระบบภายในร่างกาย
(ระบบหายใจเป็นแค่ส่วนหนึ่งของระบบภายในเท่านั้น)
ถ้าระบบภายในทำงานปกติดี ระบบของร่างกายก็จะสมดุลซึ่งจะมีผลต่อระบบหลักๆดังนี้
1.ระบบหายใจ (มีผลอย่างมากเลยแหละ)
2.ระบบสมดุลในร่างกาย(เกี่ยวกับพวกน้ำ แร่ธาตุในร่างกาย)
3.ระบบประสาทและสมอง (จะมีผลเป็นที่แรกๆเลย ผลคือ
สมองคุณจะมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ถ้าไม่จริง
เวลาคุณอยู่ตรงชายหาดทะเลและลองหายใจช้าๆดูนะ
คุณจะได้อะไรๆเยอะ ทั้งแรงบันดาลใจ วิธีแก้ปัญหา
แต่ทั้งหมดทั้งมวล การกักลมอัสมิตาก็คล้ายๆแบบนั้น
แต่จะคูณไปหลายเท่าตัว
...โดยให้ไปให้ถึงโดยการเขย่าๆ(แบบระบบคอนกรีตอัดแรง)
เซลล์จะตื่นตัวพยายามทำงานโดยดึงออกซิเจนจากลมที่ตกค้างไปใช้...
ทำให้การหายใจภายในหมดจด
ลดอาการปวดเมื่อยและอาการอ่อนแอขั้นพื้นฐานของเซลล์...และ
ที่สุดจะเข้าถึง สถานภาพของ "อาภัสสรพรหม"
ที่เป็นปฐมกำเนิดตัวชีวิตมนุษย์ตาม พรพุทธวจนะใน "อัคคัญญสูตร"
เมื่อคุ้นเคยเท็คนิคนี้มากๆ...เราสามารถกระตุ้นให้เซลล์ สร้าง
"ถุงลมนิรภัย" (Air
Bag) ป้องกันภัยใหญ่ๆ ร้ายแรงได้...
จากการคำนวณว่า 500 เซลล์ คือ จุด(.)หรือ (Dot)
ถ้าเราทำได้ ขนาด 1 ล้านเซลล์ หรือ ถึง 10 ล้านเซลล์
ตำนานคงกะพัน แคล้วคลาด เราก็ทำได้โดยวิธีการนี้เช่นกัน (อ.อัตถนิชย์ โภคทรัพย์
ผู้ค้นพบวิชา ก็เคยทำได้มาแล้วในอุบัติเหตุใหญ่ๆหลายครั้งของชีวิต)
การกักลม พื้นฐานก็คือการฝึกให้คุ้นเคยกับ "เชือกกลึง
ของเครื่องกลึง"
ที่พระพุทธเจ้าตรัสอุปมาไว้ในมหาสติปัฏฐาน 4 ว่าเสมือนลมหายใจ
ที่นายช่างกลึงผู้ชำนาญชักเพื่อกลึง....ฯลฯ
คือเข้าถึงความลึก
ความประณีตโดยธรรมชาติของสรีระของร่างกายเราเอง...
ไม่ใช่มาสมมติมโนกำหนดเอาเองจากการที่ไม่ได้รู้อะไรเลยเกี่ยวกับระบบหายใจตามธรรมชาติที่แท้จริงของสรีระ...ครับ
!!!
(ลมขาก..เสลด..ลมไอในลำคอ เคยรู้อานุภาพเขาไหมว่า มีความเร็วลมตั้งแต่ 150
กม./ชม. ถึง 300 กม./ชม.....ซึ่งแรงเท่ากับระดับ
๕ ของพ่ยุทอร์นาโด หรือไต้ฝุ่น???!!!!)
ไม่จริงเวลาคุณไอ ลองเอาทิชชู่ชิ้นเดิมปิดไว้หลายๆครั้งสิครับ
จะรู้เลยว่า กระดาษชิ้นนั้นแทบจะขาดเป็นรูๆด้วยซ้ำ
การฝึก กักลมอัสมิตา...ก็เพราะยอมรับว่า
1.
ธาตุลม คือต้นทางพลวัตที่สังเคราะห์ธาตุน้ำ ธาตุน้ำ
คือต้นทางสังเคราะห์ธาตุดิน ตามประสบการณ์ค้นพบของพระพุทธเจ้า
จาก ภูมิจาละสูตร จาก ธัมมิกสูตร ฯลฯ
2.
ลมหายใจลึก ลมหายใจยาว ลมหายใจประณีต...
กำหนดเอาเองไม่ได้..ต้องเข้าถึง
ที่สุดของธรรมชาติแห่งสรีระของเราเองเสียก่อน
เทคนิคการเข้าถึงก็คือการกักลมสมิตา
...อัดอกเพื่อให้ลมแผ่ไปถึงที่สุดแห่งสรีระตามเป็นจริง
ตามการอุปมาที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงเชือกกลึง ของเครื่องกลึงในมหาสติปัฏฐานสูตร
การกักลมอัสมิตา...จุดประสงค์คือ
1.
กระตุ้นผูกความรู้สึกระหว่างการหายใจออก-หายใจเข้ากับ
มโนธาตุ/มโนวิญญาณธาตุ
2.
ชำระ อากาศที่ตกค้าง 5/6 ให้เซลล์นำไปใช้ให้หมด
(ปกติแล้วเราใช้อากาศจริงๆแค่หนึ่งส่วนจากหกส่วน ช่วงแรกๆกระผมเองก็ตกใจครับ)
3.
จัดระเบียบ ลมในกองธาตุ ให้มีประสิทธิภาพส่งเสริมการทำงานของ อาการ 32
(ก็ที่ชอบเรียกๆกันว่ามนุษย์ครบ 32 ประการถือว่า
เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งกายและใจไง) ให้มีประสิทธิภาพร่วมกันสูงสุด
คัมภีร์ปถมังวรรคที่ 9 ที่แต่งเพิ่มในปลายกรุงศรีอยุธยาจะอยู่ในช่วงยุคสมัย
สมเด็จพระบรมโกศ(พ.ศ.2275-2301)
ที่สยามต้องไปต่อศาสนาพุทธให้ศรีลังกานั่นแหละ
ได้ซ่อนวิชาชั้นสูงสุดของ เมฆฉายสูรย์จันทร์เอาไว้
ถ้าไม่มี "กักลมอัสมิตา"
เข้ามาเชื่อมต่อ...ใครก็ไม่มีทางเข้าถึงเจตนาของครูอาจาริยะ
และพระพุทธศาสนา....ดั้งเดิม
เพราะ เดือนตะวันเบิกเมฆ คือ
อาคมชั้นสูงสุดในไสยศาสตร์ไทยที่อาศัย จิตขณะกักลมอัสมิตา
เป็นตัวกำหนดคาบอันศักดิ์สิทธิ์...
ของบทอิติปิโส หรือพุทธคุณที่มีอยู่ใน ยันต์และเครื่องราง
ทั้งหมด
ครับ...คุณสมบัติสูงสุด
ที่ซ่อนร่องรอยต้นกำเนิดดึกดำบรรพ์ไว้ใน
วิญญาณ>นามรูป,
นามรูป>วิญญาณ
คือ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่า "อาภัสสระพรหม"
มิวเตชั่นลงมาเป็นมนุษย์ ในอัคคัญญสูตร...
ที่ผู้รู้ทั้งหลายเชื่อมต่อไม่ได้ ถึงขั้นปฏิเสธ
ว่าไม่ใช่พระพุทธวจนะ คือเรื่องนี้เอง !!!
แต่พระพุทธศาสนาดั้งเดิมกลับอาศัยร่องรอยกำเนิดดึกดำบรรพ์นี้
ไปสู่ขั้นที่ละเอียดอ่อนยิ่งๆกว่า คือ ...
ดับอาภัสสรพรหม = วิเวกสุขสมาบัติ
ดับสุภกิณหพรหม= สมาธิสุขสมาบัติ
ดับเวหัปผลพรหม= สัมโพธิสุข
ขยายผล สัมโพธิสุข สู่อรูปพรหม...คือ
อากาสานัญจายตนะ(ความว่าง-เทสะ) คือ
อวกาศ (เวลาที่ไร้ขีดจำกัด) >วิญญาณัญจายตนะ(กาละ หรือเวลา)> อากิญญจัญญายตนะ
(พ้นไปจาก อะไรอะไร)> เนวสัญญานาสัญญายตนะ
แล้วใช้เทคนิคแบบเดียว สมาบัติในรูปพรหม ดับ เกิดเป็น
สสังขารนิพพาน คือ
สัญญาเวทยิตนิโรธ...
สมาบัตินิพพาน ที่ทรงอานุภาพ สูงสุดของ ทักขิไณยบุคคล ขึ้นและ
...เป็นหน้าที่สูงสุดที่พระพุทธศาสนาให้กลับมาคลี่คลายชีวิตที่เหลื่อมล้ำในสังคมมหภาค
แบบฉับพลัน เป็นที่สุด ครับ....
ไม่ได้ง่าย ลื่นไหลอย่างที่เข้าใจและเรียนรู้กันทั่วไป
แบบไม่เอาเรื่องร่างกายเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างผิดหลักอิทัปปัจจยตา
ผิดหลักปฏิจจสมุปปาท ที่นิยมกันทั่วในปัจจุบัน แต่อย่างใด ครับ!!!
"ท่านั่งรวมจิตทำสมาธิ"
ท่านเรียกว่า "นั่งคู้บัลลังก์" ตั้งกายตรง
คู้บัลลังก์ ก็คือนั่งขัดสมาธิ(นั่งขัดสะหมาด)
แบบราบ ก็..พับขาขวาทับพับขาซ้าย
เหมาะสำหรับ การฝึกหายใจแบบกระจายกองธาตุลมทั้ง ๖ ให้ซ่านไปทุกอณูขุมขน
เหมือน ไทรใหญ่ แผ่ก้านกิ่งใบขยายร่ม
นั่งแบบขัดสมาธิเพชร
คือไขว้ขาทั้งสองให้เท้าขัดกันขึ้นมาวางบนตัก
เป็นแบบสิงห์(ดูพระพุทธรูปปางเชียงแสน)
แบบนี้ต้องการควบคุมกองลมให้เป็นเอเทศสลายเป็นสูรย์จันทร์
แล้วสลายเป็นสุญญตาในที่สุด
ใหม่ๆ ก็เลือกท่าขัดสมาธิราบ แล้วฝึกดูตามจุดประสงค์ของท่า
แล้วก็ฝึก ขัดสมาธิเพชรสลับไปด้วยให้คุ้นเคยทั้งสองท่านั้นล่ะครับ...
สังเกตตัวเองไปว่าพื้นนิสัยเหมา่ะสมกับท่านั่งหลักแบบไหน
เมื่อเข้าสมาธิได้คล่องแล้วท่านั่งพื้นฐานทั้งสองท่า ก็ไม่ต้องเคร่งครัด ครับ
ตับ-ยกนํ(Yakanam)
ทำงานร่วมกับ หัวใจ-หทยํ(Hadayam)
อย่างใกล้ชิดในแง่สร้างพลวัตแห่งวิญญาณ(จิต)ที่สร้างนามรูป
ในส่วนของปัญญา
เป็น 1 ใน 2 ของอาการ 32 ที่เกี่ยวกับปัญญาของมนุษย์
วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับระบบภายในร่างกาย
ทุกครั้งที่มีการถอน กลูโคส
สารสร้างพลังงานภายในเซลล์ไปจากการไหลเวียนของโลหิต
ตับจะต้องทำหน้าที่เติมเต็ม กลูโคสให้เลือดอยู่ตลอดเวลา
ในขณะที่เซลล์ทั้งร่างกายทำงาน กลัยโคเย่น(Glycogen)
กลัยโคเย่น(Glycogen)
คือสารที่ต้องสลายตัวให้พลังงาน แล้วจะเกิด คาร์บอนไดออกไซด์
และน้ำ(ความชื้น)
ถ้าออกซิเจนจากการหายใจไม่เพียงพอ จะมีสารตัวหนึ่งจากการสลายตัวของกลัยโคเย่นไม่หมด
คือ กรดไพรูวิคจะกลายสภาพเป็น กรดแล็คติค จะถูกนำกลับไปยังตับ
การสลายตัวไม่หมดของ กลัยโคเย่น
เพราะขาดออกซิเจนนี้เองทำให้กรดแล็คติค คั่งอยู่ในตับ
เป็นที่มาของการทำงานผิดปกติของตับ
ต้นเหตุความผิดปกติของตับ...มาจากการขาดออกซิเจน ครับ
ที่ถูกต้องเลย...คุณต้องฝึกหายใจเพิ่มออกซิเจนให้เต็มตามความต้องการของตับ
ครับ
เป็นการค้นพบของวิชา Biological Chemistry เพื่อ Food
Nutrition ของภาควิชาวิชาวิทยาศาสตร์สาขาโภชนศาสตร์ เมื่อ 30-50
ปีมาแล้วครับ
เดี๋ยวนี้คนเราระวังสุขภาพกันมากเกินไป
ระวังจนทำให้สมดุลร่างกาย(ระบบเบตาบอริสซึ่มเสียหายหมด)
ทำไมหรือครับ
ผมถามก่อน ทุกคนรู้จักค่ากรด-เบส กันมั้ยครับ
ที่นี้จะบอกให้ว่าในเลือดของคุณก็มีสิทธิเป็นทั้งกรด
เป็นกลาง(ระหว่าง 7.3
ถึง 7.5) และเป็นเบส(ด่าง)
การรักษาไต โดยการห้ามรับประทานอาหาร
ที่มีธาตุโปแตสสูง คือการทำลายระบบทำงานของหัวใจ ครับ
เพราะ.....
เกลือแร่จำพวก โซเดียม โปแตสเซียม แคลเซียม และแม็กนีเซียม
เป็นธาตุที่เมิ่อเข้าไปสู่ร่างกายแล้ว
จะให้ประจุบวก คือเป็น เคเธียน(Cation) และเมื่อเผาผลาญแล้วจะให้สภาพด่าง
ส่วนฟอสฟอรัสในลักษณะของเกลือฟอสเฟต
และคลอรีน(เกลือคลอไรด์)เป็นธาตุที่ให้ประจุลบ เป็น เอเนียน (Anions) และในการเผาผลาญ
จะให้สภาพกรด
เพราะฉะนั้น
ในการเผาผลาญอาหารทุกครั้ง จะเกิดสภาพ เคเธียน และเอเนียน
อยู่ตลอดเวลาตามประเภทของอาหารที่บริโภคนั้นๆ
สภาพกรดด่างที่เกิดในกระแสเลือด จะมีดุลยภาพอยู่ที่ pH 7.3-7.5
คือต่ำกว่า 7.3
จะตกอยู่ในภาวะเลือดเป็นกรด(Acidosis)
มากกว่า 7.5 ก็เป็นด่าง(Alkalosis)
อาหารที่ให้สภาพด่างภายในร่างกาย
ได้แก่ ผัก ผลไม้ น้ำนม และถั่วเปลือกแข็งบางชนิด
อาหารที่ให้สภาพกรด
ได้แก่ เนื้อสัตว์ ปลา ไก่ ไข่ ข้าว เนยแข็ง
สำหรับอาหารพวกไขมัน น้ำตาล แป้ง
ไม่มีเกลือแร่ประกอบอยู่ด้วยเลย
จะถูกเผาผลาญ กลายเป็นน้ำ และคาร์บอนไดออกไซด์
และขับออกจากร่างกาย อย่างรวดเร็ว
ซึ่งอาหารประเภทเหล่านี้ มีสภาพเป็นกลางๆ
ผลไม้จำพวก ส้ม มะนาว และอื่นๆทั้งที่มีส่วนประกอบเป็นกรดอินทรีย์
และมีรสเปรี้ยว เป็นกรด...
แต่..จะให้สภาพด่างทันทีที่ถูกเผาผลาญในร่างกาย
การห้ามเกลือแร่โปแตสเซียมที่กลายสภาพเป็นด่างได้อย่างรวดเร็ว
จะมีผลโดยตรงต่อการลดประสิทธิภาพการทำงานของ เลือด
และการทำงานของหัวใจ !!!
สรุปว่า:อย่าเคร่งในการกินมากไป(แต่อย่าจุกจิกกินบ่อยนะจ๊ะ)
ปล.ใครจะเรียก Cation ว่า แคทไอออน หรือ Anion ว่า แอนไออน ก็ไม่ผิดนะ แต่ผมเน้นอ่านง่ายไว้ก่อนครับ
กลับเข้าเรื่องเกี่ยวกับวิชาการกันครับ
ที่กระผมพบว่าสอดคล้องกับ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสยืนยันว่า
อานาปานสติทำให้กายไม่ลำบาก ตาไม่ลำบาก ซึ่งมีนัยะลึกซึ้งมาก
เมื่อตามศึกษาลึกเข้าไปถึง อาการ 32 เท่าที่ปรากฏมีในคัมภีร์ประกอบหลักฐานและปฏิบัติด้วยตนเอง....
ด้วยข้อมูลทั้ง 2 ฝ่าย(คำสอนพระพุทธศาสนา+วิทยาศาสตร์โภชนาการ)
ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องลังเลเลย...
ตอนนี้ จับแค่ไอเย็นที่วาบมาจากแถวๆฝีเย็บลองกึ่งไล่กึ่งพิจารณา
กึ่งกำหนดให้เป็นสายแนบสันหลังขึ้นมาผ่านก้านคอ เข้าหลังกระบอกตาออกระหว่างคิ้ว
...อันนี้จะเป็น สูรยะกลา(สูรย์)
ถ้าเตลิดขึ้นกระหม่อม...อันนี้จะเป็นจันทระกลา(จันทร์)
อุณหภูมิที่สัมผัสได้ก็ต่างกันด้วย
...สูรย์จะร้อนกายซีกขวา จันทร์จะเย็นกายซีกซ้าย ตามเซลล์ 2 ตัวแรกที่แยกตัวกันออกมา หลัง สเปิร์มพ่อ ผสมไข่แม่เรียบร้อยแล้ว
...เซลล์เพศชายจะเป็นสูรย์จันทร์ ขวาซ้าย ของหญิงจะซ้ายขวา
เมื่อกระแสสูรย์จันทร์เกิดแล้ว...อีก 8 ปราณจะเกิดตามมา...ครับ
ลำดับการรัดก่อนกักลม คือ
1.ขมิบฝีเย็บ คือ กลั้นเยี่ยวกลั้นขี้ให้แน่นก่อน แล้วจึง...
2.อกตั้งตึง ไหล่ผาย พร้อมหายใจออกช้าๆ จนสุด
3.เมื่อสุดแล้ว ช่วงท้องจะรัดแน่นเป็นแนวเองตามธรรมชาติของร่างกาย
หากหายใจให้สุดจริงๆ ช่วงท้องนี้จะรัดแน่นมากเป็นพิเศษ
จากนั้นจึ้งกลั้นใจเบ่งให้เต็มที่แล้วจึงกักลม กระโดดเขย่าๆ...
เมื่อทำตามลำดับอย่างนี้...
จะไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นสำหรับร่างกายตามปกติ...
มีแต่จะเพิ่มประสิทธิภาพ...ถ้าไม่มีลำดับ ก็จะแกว่ง ไปทั่ว
ครับ
เพิ่มเติมวิชาการเรื่องการใช้น้ำหนักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
การเพิ่ม 8
ก.ก.× 2
จากลูกเหล็กดัมเบลล์ ช่วยขับลม (อันนี้ของ อ.นิช นะครับ)
อัดเข้าให้แน่นเต็มร่าง
จะหนักหน่วงรุนแรงกว่าการกักลมฯมือเปล่า ประมาณ 3 เท่าจากการกักลมอัสมิตาอัตรากลางๆถึงสูง(ความละเอียดสูงด้วยนะ)
ประสิทธิภาพที่ได้คือ มือแขนเบาโหวง แต่แรงเหวี่ยงสูงขึ้น
มีความนิ่ง มั่นคงขึ้น ความอัดแน่นของลมในกล้ามเนื้อ
ตามจุดประสงค์ หนักแน่นมหาศาลขึ้นกว่าการกักลมอัสมิตาแบบมือเปล่ามาก
ทั้งเต็มร่างในยามปกติโดยการหายใจปกติ
กล้ามเนื้อและเอ็นตลอดทั้งร่าง ก็มีประสิทธิภาพแน่นและมั่นคง
ความรู้สึกตื่นสว่างไสวก็เพิ่มมากขึ้น ด้วย ชัดเจน
ดัมเบลล์ใช้ถ่วงน้ำหนักในการเขย่า...
เหมาะสำหรับ พวกที่มีประสบการณ์เคยหายใจลึก
และทำงานหนักมากมาก่อน..แล้วเลิกไปเป็นระยะเวลานานๆ...
เหมือนระบบคอนกรีตอัดแรง คุณภาพ
สูงที่ต้องเพิ่มกำลังน้ำหนักในการเขย่าเพื่อความแน่นของคอนกรีต
ท่านที่มีปัญหา กักลมฯแล้ว ไม่พบอาการเปลี่ยนแปลง.ในประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกับระบบจิตสรีระ
...อาจสามารถเพิ่มการถ่วงน้ำหนักเพื่ออัดลมในร่างกาย ด้วยการใช้
ดัมเบลล์เพิ่มด้วยน้ำหนักที่เหมาะสม ครับ
ในเรื่องของดัมเบลนั้น ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นดัมเบลเลย
เป็นอะไรก็ได้ที่มีน้ำหนัก (จะมากน้อยก็แล้วแต่เลยนะครับ)
ปล.แต่ก่อนที่ใช้น้ำหนักเพิ่มประสิทธิภาพ
แนะนำให้เอาพื้นฐาน(มือเปล่า) ให้ดีก่อน จะขยับไปใช้น้ำหนักทีหลังก็ไม่เป็นไรครับ
เพิ่มเติมเนื้อหาแบบสรุปครับ:
การกักลมอัสมิตา
มี 2 ขั้นตอน ครับ
ขั้นตอนที่ ๑ กักลมอัสมิตา
๑.๑ ได้แก่ หายใจออก-ออกให้สุด สุดแล้วเกร็งช่วงล่างของร่างกายให้แน่น
กลั้นใจไว้ กระโดดเขย่าๆๆๆ..นับ 1
ถึง 10 (ใหม่ๆ) ชำนาญแล้วค่อยขยายเป็น ถึง 20-30
๑.๒ ได้แก่ ต่อจากข้อ ๑.๑ หายใจเข้า-เข้าให้สุด
สุดแล้วเกร็งช่วงบนลำตัวให้แน่น กลั้นใจไว้ กระโดด เขย่าๆๆๆๆ นับ 1 ถึง 20(ใหม่ๆ) ชำนาญแล้ว ค่อย ขยาย เป็น 30-50
ขั้นตอนที่ ๒ หายใจออก-ออกสุด
หายใจเข้า-เข้าสุด ทำตอนก่อนนอนหลับ
ทำจนหลับไปเองเพื่อปลูกฝังนิสัย การหายใจยาวประณีตให้ตนเอง
และใช้เวลาอย่างฝึกนั่งสมาธิเบื้องต้นด้วย
เน้นว่าขั้นตอน 1.1 และ 1.2 ให้ทำต่อกันเลยครับ(ไม่พร้อมกันนะครับ)
จบในส่วนของวิชาการครับ
ในส่วนที่ 2
คือ การปฏิบัติจริง
ผมอยากให้ทุกคน ณ ที่นี้ ที่เคยทำการกักลมอัสมิตามาแล้ว
อธิบายถึงประสบการณ์และผลที่ได้รับจากการกักลมอัสมิตานะครับ
(ทุกความคิดเห็นที่พูดถึงประสบการณ์ของตนเองจากการปฏิบัติจริงรวมถึงผลที่ได้รับจะถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของส่วนของการปฏิบัติจริงนะครับ)
ง่ายๆคือ ได้เป็นส่วนหนึ่งของบทความนี้ด้วยครับ
ผมขอขอบคุณบุคคลเหล่านี้ที่ทำให้เกิดบทความนี้ขิ้นมาครับ
Cr.
อ.อัตถนิช โภคทรัพย์ (ผู้ค้นพบความรู้)
อรรถพล อรรถาเพ็ชร (ผู้เรียบเรียงเนื้อหาเดิม)
ชนสรณ์ สวดประโคน(ผู้จัดทำแบบจำลองกองลมทั้ง 6 และร่างกาย)
ตัวกระผมเองที่ทั้งเพิ่มเติมและเรียบเรียงเนื้อหา(จนเพิ่มเติมและแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่
1 ในวันนี้)
และทุกๆคนในนี้ที่จะได้ความรู้ดีๆและเป็นส่วนหนึ่งของบทความกันครับ
Kanpoj Chanpitak ดัมเบลล์ 1.5 kg.ซื้อมาแล้ว หนึ่งคู่ พร้อมที่จะเริ่มต้นฝึก
วรรณพันธ์ พัทธ์อรรถ ผมว่าวันนี้จะเพิ่มรายละเอียดของบทความเพิ่มไปอีก
(ศัพท์วิชาการอังกฤษบางคำผมยังอธิบายไม่เครียร์เลย)
รวมถึงการอธิบายถึงผลของ
การกักลมอัสมิตาซึ่งผมจะเพิ่มในส่วนของผลที่จะได้รับโดยเฉพาะ
และส่วนสุดท้ายคือ
เรื่องดัมเบลหรือการใช้น้ำหนักในการเพิ่มประสิทธิภาพของการกักลมนั้นๆ
แต่บทความก่อน(เวอร์ชัน
2.1)
สำหรับมือใหม่ถือว่า ดีมากแล้วครับ
น่าจะเป็นแก้ไขเพิ่มเติมแล้วลงบทความใหม่อีกทีหนึ่ง(เวอร์ชัน
2.2)
แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นถ้าไม่มีฐานความรู้เดิมของ
อาจารย์ดำ(เวอร์ชัน1.1) น้าอรรถ(เวอร์ชัน 1.2)
และเริ่มรวบรวมและเรียบเรียงเนื้อหาเป็นครั้งแรก
บทความ 2.1
คงไม่เกิดหรอกครับ
Takeda Kosae กักลมเช้านี้
หนักแน่น เบาลอย อกเย็นวาบๆ
ทั้งเมื่อคืนตลอดเช้า
กักเข้าลมอัดที่อก
ตลอดไหล่แขน กักออกลมอัดท้อง ช่วงล่าง
และที่เหลืออัดทั่วร่าง
สนุกดีคับ
กักเข้าลมภายนอกกับลมภายในมารวมกันที่อก.
กักออกลมภายนอกออกปอด ภายในกลับลงมาที่ท้องอัดตลอดล่าง ศูนย์กลางลมอยุ่ที่สะดือ
ลมภายในจะช่วยร่างกายเคลื่อนไหวขณะหายใจเข้า เบ่งอัดทีอก ท้องหดเข้ามา
ชอบอันนี้ครับ
ที่ อ. แนะนำ ถ้าใครรีดลมออกสุด
แต่ตัวไม่ตรง ประมาณว่า ก้มรีด อันรี้ผิดเลยนะครับ แทนที่จะเป็นฝึกลม
กลายเป็นฝึกแอโรบิกแทน 55 อกตั้งตึง ไหล่ผาย สุดยอดละคับ
อันนี้เปนทริคสำคัญิีกอัน
กระบี่แห่งความกล้าหาญ
หย่งเจี้ยน จากเทคนิค
กักลมอัสมิตา หลายท่าน ไม่ได้ปฏิบัติ ตอนนอนก่อนหลับ คือการหายใจยาว ออก-ออกสุด
เข้า-เข้าสุด จนกระทั่งหลับไปเอง จึงมีปัญหา การหายใจสั้น หายใจไม่เต็มปอด
นั่นคือการยังติดอยู่ในนิสัยเดิมๆ ที่หายใจไปตามยถากรรมของกิเลสเฉพาะหน้า
ท่าน
เล่น กักลมอัสมิตาก่อนอาบน้ำแล้ว ท่านไม่ฝึกหายใจยาว ให้ออก-ออกสุด เข้า-เข้าสุด
ในช่วงนอนก่อนหลับ คือการตามใจกิเลสความเคยชินเก่าๆ
อยู่ในขณะที่ร่างกายไม่ได้มี
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตกค้าง
ให้ต้องเนือยล้าแท้ๆ...แต่ท่านเองไม่เปลี่ยนนิสัยมักง่ายใน
การหายใจ
ครับ
อยากรู้จักจิต
ตามการค้นพบของพระพุทธศาสนา ก็อย่าปล่อยให้ลมหายใจไปรับใช้กิเลสสิครับ โธ่ๆๆๆๆๆ
Takeda Kosae ก่อนนอนควรฝึกรีดสุด
เข้าสุด เวลาฝึกกักตอนเช้าจะได้คล่อง เอาลมออก เข้า ปอดเต็มที่คีับ ส่วนเบ่งอัดลมก้ออีกอย่างนะ ใช้คำว่า รัด แทน
Nut Suphakorn
Chakrit Ake หลังๆ
ก่อนนอนนี่ชอบรีดน้ำแทนรีดลม...ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเหมือนกันฮะ ๕๕๕
Takeda Kosae ผม 2 วันครั้ง 555
Nut Suphakorn
Chakrit Ake เมื่อเช้าลองดูและ
กักพพร้อม ดบ.๘กก. ๑คู่ ๒๐/๒๐ ,
๓๐/๓๐
นี่ยังเฉยฮะ แต่พอเป็น ๔๐/๔๐ ถึงได้รับรู้อาการหวิวเล็กน้อย
Sunan Thurapha ผมแบกมัดอ้อย
มัดละประมาณ 10+ กก. วันละ 30 มัด
พลังนี่มาเลยครัช อิอิ
วรรณพันธ์ พัทธ์อรรถ เมื่อวานเพิ่งเอากระเป๋า
2
โลซ้ายและขวา ผมก็ทำในอัตราเท่ากับ
มือเปล่า เหนื่อยเพิ่มขิ้นแค่เล็กน้อยเท่านั้นครับ
Atthanij Pokkasap ไอ้หนุ่มไร่มัน..แต่ไปแบกสาวไร่อ้อย
เอ๊ยย...
Atthanij Pokkasap ขั้นที่สาม
สัพพกาย....บริหารจัดการไม่ได้...ขั้นต่อๆไปก็จะเป็นอุปาทานล้วนๆแบบดวงแก้ว...
No comments:
Post a Comment