Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Sunday, December 23, 2018

เกร็ดความรู้ด้านโหราศาสตร์; คัมภีร์สุริยยาตร์



เกร็ดความรู้ด้านโหราศาสตร์
คัมภีร์สุริยยาตร์ 

* จากหลักฐานการศึกษาของชาวพุทธโบราณ ที่มีร่องรอยทางโบราณคดี ตำนาน เรื่องปรัมปรา อย่างหลากหลายอยู่ในราชอาณาจักรสยาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่มีกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี มาจนถึงยุคต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ คือระหว่าง พ.ศ. 1720 ถึง พ.ศ. 2394
...การศึกษาของชาวพุทธโบราณแยกออกเป็น 2 สาย
ตามวิธีการจำแนกของคัมภีร์ "ปัญจตันตระ" หรือ "หิโตปเทศ" ซึ่งเป็นเอกสารโบราณที่เกิดขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 11 ได้เป็น...
...สายที่ 1...เป็นสายนักรบ เรียกว่า "ศัตรวิทยา"
ซึ่งต้นราชวงศ์ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาได้ไปค่อนข้างชัดเจน สายนี้เรียกรวมๆว่า "ไสยศาสตร์ไทย" มีคัมภีร์ต้นหลักสูตรเรียกว่า "คัมภีร์ปถมัง"
...สายที่ 2...เป็นสายนักปราชญ์ เรียกว่า "ศาสตรวิทยา"
ต้นราชวงศ์พระร่วงแห่งกรุงสุโขทัยเป็นฝ่ายได้ไป สายนี้เรียกรวมๆในชั้นหลังๆว่า "โหราศาสตร์ไทย" คัมภีร์ต้นหลักสูตรก็คือคัมภีร์สุริยยาตร์นี้เอง
...วิชาการทั้ง 2 สายนี้เคยรวมตัวเป็นเอกภาพครั้งสำคัญ คือรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ทำให้ยุคกลางของกรุงศรีอยุธยาเรืองอำนาจอย่างยิ่งใหญ่กระทั่งมาจบลงเมื่อสิ้นรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

* หลักฐานคัมภีร์สุริยยาตร์นั้นปรากฏอย่างเด่นชัดอยู่ในประวัติศาสตร์ของวิชาโหราศาสตร์ไทยเอง และศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง
ในรัชสมัยของพ่อขุนพระญาลิไทย. โดยหลังจากที่พ่อขุนพระญาลิไทยทรงเรียบเรียง "เตภูมิกถา" หรือที่เราคุ้นหูในชื่อ "ไตรภูมิพระร่วง" สำเร็จแล้ว
ก็ได้ทรงเป็นประธานชำระวิทยาการโบราณต่างๆ ของอารยธรรมแห่งลุ่มแม่น้ำสินธุ
ที่แผ่เข้ามาสู่ตอนใต้ของอินเดียและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก่อนหน้า ให้ยุบตัวลงมาเป็นสรรพวิทยาการของสังคมชาวสยามอย่างเป็นเอกเทศและมีเอกภาพ
* ตัวหนังสือไทยหรือ "ลายสือไทย" เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับสรรพวิทยาการเหล่านี้คู่กับอักษร "ขอมไทย"
ที่พัฒนามาจากอักษรคฤนห์สมัยราชวงศ์ปัลลวะต้นวงศ์วานของราชวงศ์พระร่วง - ตามจารึกที่พ่อขุนพระญาลิไทยได้สร้างเป็นศิลาจารจารึกไว้
* คัมภีร์สุริยยาตร์นั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 ภาค คือภาคทฤษฎี และภาคคำนวณ.
...ภาคทฤษฎีนั้น มีเนื้อหาสาระซ้อนทับอยู่ใน "นวมกัณฑ์ (กัณฑ์ที่ 9)" แห่งเตภูมิกถา
...ส่วนภาคคำนวณนั้น อยู่ในคัมภีร์สุริยยาตร์ล้วนๆ มีสูตรคำนวณที่พ่อขุนพระญาลิไทยท่านทรงปรับปรุงขึ้นมาเองด้วย เรียกสูตรนั้นว่า "สรุปอัปปะ"
ใช้คำนวณปฏิทินไทย ปฏิทินโหราศาสตร์ไทย แม่นยำอยู่ตราบเท่าทุกวันนี้ มีผลงานหลักฐานคือปฏิทิน 100 ปีของ อจ.ทองเจือ อ่างแก้ว เป็นสำคัญ

* ท้องฟ้าในไตรภูมินั้น ได้เล่าย้ำหลายรอบแล้วว่าไม่ใช่ท้องฟ้า ไม่ใช่ดวงดาวตามรูปแบบการสังเกตของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน
เพราะท้องฟ้าของไตรภูมิเป็นภาพที่มีความทับซ้อนไม่ได้ด้อยกว่าร่องรอยปรากฏการณ์ของนิวเคลียร์สังเคราะห์ธาตุ
ที่เป็นภาพถ่ายในห้องฟอง (Bubble Chamber) ในห้องปฏิบัติการนิวเคลียร์ฟิสิกส์ !
ผู้ทำการวิเคราะห์ร่องรอยปรากฏการณ์นิวเคลียร์สังเคราะห์ธาตุจะต้องมีความรู้ด้านนิวเคลียร์ฟิสิกส์สูงล้ำอย่างมากๆ ฉันใด
ผู้ที่อาจหาญมาวิเคราะห์สารพัดคลื่นในระบบอายตนะสัมผัสที่โบราณท่านจำลองออกมาเป็นภาพท้องฟ้าไตรภูมิ ก็ไม่ได้ด้อยกว่า...ฉันนั้น

* ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในกระบวนสังเกตการณ์ของท้องฟ้าไตรภูมิ กับท้องฟ้าดาราศาสตร์ปัจจุบัน ตรงนี้.
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความรู้จักกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า
"โลกภายนอก (External World / World of Matters)" และ "โลกภายใน (Internal World)"
พร้อมทั้ง "พิกัดตำแหน่งของมนุษย์" ว่าอยู่ในฐานะ "ผู้สังเกตการณ์ (Observer)" ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ยุคล่าอาณานิคม และ/หรือ
"ผู้ร่วมในเหตุการณ์ (Participator)" ที่เป็น "จิตวิสัยแห่งเวลา (Subjectivity of Time)"
ตามแบบวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าที่เพิ่งมีการค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1905 ที่ผ่านมาหยกๆ

* โลกภายนอก ซึ่งเป็นโลกแห่งความเป็นจริง (External World - The Nature of Reality) นั้น...ยกไว้เลย...
เพราะวิทยาศาสตร์ยุคล่าอาณานิคมอ้างอย่างหัวชนฝาไว้แล้วว่าเป็น "ความสับสนของอายตนะสัมผัสของมนุษย์เอง"

* ส่วน "โลกภายใน (Internal World)" มีโครงสร้างตามประสบการณ์ของชาวพุทธโบราณ ประกอบด้วย
1) ความรู้ที่เกิดจากการรับรู้ทางความรู้สึก (Sensory Knowledge). และ
2) ความรู้ที่เกิดจากการบริหารจัดการระบบการทำงานในเชิงตรรกะของสมอง (Logical Knowledge)
...ความรู้ที่เกิดจากการรับรู้ทางความรู้สึก-ที่ชาวพุทธโบราณเรียกว่า "เวทนา"
อันนี้ - เป็นปรากฏการณ์ถักซ้อนของสารพัดคลื่นพลังงานที่มาจากการสั่นสะเทือน (Vibration)
ที่อายตนะประสาทสัมผัส ปะทะกับโลกแห่งความเป็นจริง หรือ "สิ่งเร้า" จากภายนอก.
* ชาวพุทธโบราณทำลายกำแพงแห่งความสับสนในเรื่องของความสั่นสะเทือนของอายตนะประสาททั้งหมด
ให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกันโดยอำนาจฌานชั้นสูง ที่เรียกว่า "สัมมาสมาธิ"
กระบวนการเหล่านี้ถูกทำให้เป็นมาตรฐานมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยนักปฏิบัติการชั้นสูงที่เราเรียกว่า "พระฤๅษี"
และตรรกะการใช้สมองก็มาจากการฝึกสมาธิเบื้องต้นที่อาศัยคัมภีร์ปถมัง เป็นต้น.

* หลักสูตรที่ฤๅษีเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุแล้วได้พัฒนามาตรฐานความรู้ขึ้นนี้
มีมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล ทั้งยังมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับพระพุทธศาสนา ด้วยบรมครูของวิชาโหราศาสตร์ไทย 2 ท่านแรกก็คือ
1) ท่านอัญญาโกณฑัญญะ เอตทัคคะ หนึ่งใน อสีติมหาสาวก "ผู้เลิศในทางรู้ราตรียาวนานกว่าใคร"
เพราะท่านคือโหรที่พยากรณ์ชะตากรรมของสิทธัตถะกุมารตั้งแต่แรกสมภพจนกระทั่งบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ
ทั้งยังได้เฝ้าติดตามผลงานพยากรณ์ของตนอย่างต่อเนื่อง

2) ท่านวังคีสะ นักปราชญ์ผู้พยากรณ์ที่มาที่ไปของดวงจิตทุกดวง-ด้วยการฟังเสียงเคาะกระโหลกศีรษะคนตาย!
เป็นเอตทัคคะ "ผู้เลิศในการร่ายโฉลกสรรเสริญพระบรมศาสดา" ทั้งยังเป็นองค์ต้นของปรากฏการณ์ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระตถาคต"
...วิชาการแพทย์แผนโบราณมีท่านหมอ ชีวกะโกมารภัจ เป็นบรมครูฉันใด
วิชาโหราศาสตร์ไทยก็มีท่านอัญญาโกณฑัญญะ และท่านวังคีสะเป็นบรมครูฉันนั้น

* การทำความเข้าใจในเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนอย่างวิชาโหราศาสตร์ไทยโบราณนี้ จำเป็นต้องใช้ "จินตนาการชั้นสูง"
ให้สมกับที่ท่าน ศจ.อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้"... เพิ่มอีกสัก [ไม่] หน่อย ว่า...
...เทวดา อินทร์ พรหม ทั้งหลายในศาสนาของอารยธรรมโบราณแห่งเอเซียทั้งหมดเป็น "แบบจำลอง (Model)"
ปรากฏการณ์เชิงลึกของธรรมชาติ มีฐานทางคณิตศาสตร์ และสัญลักษณ์ทางเรขาคณิตรองรับครับ!
* โดยคณิตศาสตร์นั้นค้นพบตั้งแต่สมัยอาณาจักรบาบิโลเนียเรืองอำนาจ และเรขาคณิตค้นพบ
ตั้งแต่ที่กรีกไอโอเนียนเข้าปะทะสังสรรค์กับพระพุทธศาสนาช่วง 300 - 400 ปีก่อนคริสตกาล
ทำให้นักปราชญ์กรีกที่ชื่อ "ยูคลิด" ค้นพบวิชาเรขาคณิตและปรัชญาของความจริงแห่งเส้นสายทั้งหลาย
ที่เรียกว่า Axiom หรือที่ยุคนี้เรียกย่อๆว่า ซ.ต.พ.
...โดยฐานทางเรขาคณิตนั้น ถูกนำไปพัฒนาเป็น "ตรรกะแห่งการใช้อำนาจไสยศาสตร์"
ที่ถูกยัดเยียดข้อกล่าวหาว่า งมงาย ล้าหลัง ฯลฯ ทั้งๆที่พวกกล่าวหาไม่ได้รู้อะไรเลย-ในสิ่งที่ตนเองไปกล่าวหา...นอกจากเชื่อตามอคติที่ตนเองรู้สึก
* ซึ่งเรื่องทำนองนี้ก็มีอยู่นานแล้ว กระทั่งปรากฏอยู่ในบันทึก Quitilion ของปราชญ์โรมัน ข้อที่ X บันทึกไว้ว่า
...Damnant quod non intelligent
...ถอดความเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า...
They damn what they do not understand.
...คือ ไม่เข้าใจ ก็หาว่า ไม่ดี...
* [ฉะนั้น เราควรมาทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนขึ้นกันเถิด..]

ในเบื้องต้นการพยากรณ์ของวิชาโหราศาสตร์ไทยนั้น อาศัยตำนานต้นกำเนิดข้อมูลสถิติ, ตำนานต้นกำเนิดข้อมูลสถิติ
อาศัยปัญญาโดยสัญชาตญาณ...ที่คุ้นหูกันว่า "จินตามยปัญญา (Cintamayapanna)"...ปัญญาพื้นฐานที่โลกวิชาการไม่เคยรู้จัก!
* ปัญญาโดยสัญชาตญาณนั้นเป็นพื้นฐานของอำนาจไสยศาสตร์
คือ พระโยคี (ก็นักปฏิบัติการโยคะ น่ะแหละ) ส่งคลื่นความถี่ต่ำจากสมองส่วนกลาง
(ส่วนที่ใกล้ชิดติดบนและหลังกระบอกตา สัญลักษณ์โบราณคือ "ดวงตาที่ 3" กลางหน้าผาก หรือเครื่องหมายสวัสดิกะเหนือหว่างคิ้ว)
ไปสัมผัสกับคลื่นพลังงานต่างๆใน "สนามแรง" (ศัพท์เทคนิกชาวพุทธโบราณเรียกสนามแรงนี้ว่า "อายตนะ" อันหมายถึง "แดนอาศัย")
ซึ่งสนามแรงเหล่านั้นก็มีความสั่นสะเทือนอยู่แล้วจากการกระทบกับ "สิ่งเร้า" อันเป็นเหตุการณ์ของโลกภายนอก...
แล้วท่านโยคีนักปราชญ์เหล่านั้นก็อ่านความหมายจากเหตุการณ์การกระทบกันของสารพัดคลื่นเหล่านั้นเอง.
...เป็นการอ่านเหตุการณ์จากภายในทั้งหมด ไม่ได้พูดถึงโลกภายนอกอย่างที่นักวิทย์หัวโบราณเข้าใจกันเลย...
[ตัวอย่างที่เห็นชัดตรงนี้ก็คือขนาดของดวงอาทิตย์ในท้องฟ้าไตรภูมินั้น มีขนาดแค่ไม่กี่โยชน์
ซึ่งตรงข้ามกับที่นักดาราศาสตร์คำนวณและประกาศไว้ว่าดวงอาทิตย์มี ผศก.ใหญ่โตมโหฬารเป็นแสนเป็นล้านกิโลเมตร...
ก็เพราะกระบวนการวัดค่านั้นมันแตกต่างกันคนละขั้วอย่างนี้ไง]

* ปัญญาญาณที่เกิดจากคลื่นสั่นสะเทือนที่สัมพันธ์กับโลกแห่งวัตถุ หรือ โลกภายนอกนี้
เราสามารถพบเห็นได้จากเวลาเกิดภัยพิบัติใหญ่ๆ ที่สัตว์บางชนิดบางสายพันธุ์เขารู้ตัวกันก่อนหน้า ทำให้หนีรอดพ้นภัยพิบัตินั้นๆได้
"จินตามยปัญญา" จึงเป็นคนละเรื่องกับ "ความคิด" อย่างที่พวกพระนักปราชญ์แปลกันไว้
หากแต่เป็นปัญญาที่เกิดจาก "จิตธรรมชาติ" ของสิ่งมีชีวิต-ไปสัมผัสกับโลกแห่งวัตถุ...เป็นปัญญาโดยสัญชาตญาณ ครับผม!
* เป็นปัญญาที่อยู่บนพื้นฐาน กฎอนุรักษกรรมแห่งพลังงาน (Law of Conservative of Energy) ที่เป็นกฎพื้นฐานทั่วไปของวิชาวิทยาศาสตร์นั่นเอง !?!
* นักวิทยาศาสตร์หัวโบราณพูดถึงโลกภายนอกโดยไม่รู้จักพิกัดตำแหน่งโครงสร้างของตน แต่กระแดะเรียกตนว่าเป็น "ผู้สังเกตการณ์ (Observer)"
...โมเมพิกัดตนเองว่า "เป็นกลาง"...เนี่ย...อุปาทาน หรือ ตอแหล เต็มขั้นตอนอย่างไร้ยางอายเลยล่ะ
...เพราะในโลกแห่งสัมพัทธภาพ ไม่มีที่ตั้งของผู้สังเกตการณ์ ครับ! วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าค้นพบแต่ "ผู้ร่วมในเหตุการณ์ (Participator)"
เพราะผู้ร่วมในเหตุการณ์ คือ ตัวการสำคัญในการสร้างเนื้อหา - โดยเป็น "ผู้ลำดับเหตุการณ์"
...ก๊อออ..ตัวที่ท่านไอน์สไตน์เรียกว่า Subjectivity of Time - จิตวิสัยแห่งเวลา นั่นงั๊ยยยย์
....ไอน์สไตน์ รู้จักจิตวิสัยแห่งเวลา...แต่...ไม่รู้พิกัดที่ตั้งของมัน!
ในขณะที่ คาร์ล มาร์กซ์ ค้นพบพิกัดของมันแล้วแต่โยงความสัมพันธ์เข้ากับทฤษฎีของตนไม่ถูกครับ

* โหราศาสตร์ไทยจึงต้องมีการคำนวณหาพิกัดของ "ผู้ร่วมเหตุการณ์" ก็คือสิ่งที่เรียกว่า "ลัคนา" !?! ...
การหาพิกัดของลัคนา เป็นการแสดงถึงความรอบรู้ของนักปราชญ์โบราณที่ว่า โลกไม่ได้อยู่นิ่ง
หากแต่หมุนรอบตัวเองด้วย - หมุนรอบดวงจันทร์ด้วย - แล้วก็หมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วย
ความรู้เหล่านี้เกิดจากการใช้ปัญญาโดยสัญชาตญาณ [จินตามยปัญญา] ทั้งสิ้น
จากนั้นสะสมจนเป็นประสบการณ์แล้วสร้างปัญญาจากประสบการณ์ ที่เรียกว่า "สุตามยปัญญา (Suttamayapanna)" หรือ "สุตตมยปัญญา"
แต่ก็ยังไม่ได้ถ่ายทอดความรู้หรือประสบการณ์ค้นพบออกมา...
...ต้องนำประสบการณ์สัมผัสรู้ที่สั่งสมข้อมูลจำนวนมหาศาลนี้ไปผ่าน "จักระ" ที่อก ที่คอ เพื่อถ่ายทอดออกมาเป็นสื่อภาษาพูดของมนุษย์...ต่อไป.

* การขับเคลื่อนข้อมูลมหาศาลผ่านจักระสำเร็จ เป็นปัญญาที่เกิดจากสมาธิ เรียกขั้นตอนนี้ว่า "ภาวนามยปัญญา (Bhavanamayapanna)"
เหล่านี้เป็นขั้นตอนปฏิบัติโยคะของพวกฤๅษี แต่ถูกจัดระเบียบขั้นตอนโดยพระพุทธศาสนา [จรณะ 15 ?]
พระฤๅษีที่เป็นนักปฏิบัติการโยคะจึงศิโรราบเข้ามาบวชแล้วเป็นแนวร่วมสำคัญตั้งแต่รุ่งอรุณของพระพุทธศาสนา
...ความรู้ของเหล่าพระฤๅษีที่ถูกพระพุทธศาสนาพัฒนาและบูรณาการแล้วนี้ละครับ คือประมวล "ปกรณ์วิเสส" เป็น "พ็อกเก็ตบุ้ต"
ที่ชาวพุทธโบราณสะสมเอาไว้เป็นหลักฐานให้กับทายาทเป็นจำนวนมากมหึมามหาศาล ที่ต่อมาถูก เผา ทำลาย และให้ร้ายป้ายสีจนยับเยินไปหมด!!!
ทำให้ราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่
กลายเป็นประเทศของชนชาติจรจัด, รุกรานคนพื้นถิ่น, เที่ยวขโมยประเพณีวัฒนธรรมของชนชาติเพื่อนบ้านมาเป็นของตัวเอง...ตราบจนทุกวันนี้...

* กรุณาจดจำให้ขึ้นใจด้วยนะครับ ราชอาณาจักรสยาม
เป็นราชอาณาจักรเดียวในโลกที่เอาชาวตะวันตกจอมอหังการอย่าง โปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ ฝรั่งเศส
มาเป็นทหารอาสารับใช้อยู่ในกองทัพ - อยู่ในราชสำนัก.
ในขณะที่ชนชาติอื่นๆในทวีปเอเซียทั้งหมดพ่ายแพ้และตกเป็นเมืองขึ้นของชาวตะวันตกเหล่านั้น..ในยุคสมัยเดียวกันแท้ๆ.
...แล้วจู่ๆ ทั้งสื่อ ทั้งตำราเรียนของเยาวชนยุคนี้ กลับจารึกหลักฐานลงไปเองว่า
เป็นประเทศของชนชาติที่เที่ยวขโมยประเพณีวัฒนธรรมของชาติเพื่อนบ้านที่ตกเป็นเมืองขึ้นของชาวตะวันตกเหล่านั้นไปเสียได้ ?!?
มันจะทำลายเกียรติประวัติของชาติพันธุ์ที่มีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ให้ป่นปี้กันไปถึงไหน ?!?
* โปรตุเกส ฮอลันดา เข้ามาเป็นทหารอาสาอยู่ในกองทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
เพราะมีปราชญ์ชาวสยามเห็นว่าปืนไฟกับดินดำที่ชาติตะวันผลิตขึ้นนั้น มีคุณภาพไม่เท่าไหร่
จึงพัฒนาอานุภาพของดินปืนและอาวุธปืนไฟไปไกลกว่าอย่างก้าวกระโดด
ทั้งโปรตุเกสกับฮอลันดาซึ่งเป็นต้นตำรับอาวุธปืนไฟแท้ๆ ต้องมาขอเรียนรู้โดยการเข้ามาเป็นทหารอาสาในกองทัพ...เคยรู้เรื่องกันไหม?
* สมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้น ท่านทรงส่งเหล่าจอมขมังเวทย์ไปแสดงอานุภาพถึงกรุงปารีส
ทำให้ราชสำนักฝรั่งเศสตกตะลึง! ไม่กล้าเข้ามาล่าเมืองขึ้นในเอเซียเกือบ 200 ปี
เรื่องนี้ก็มีบันทึกเป็นหลักฐานชัดเจนอยู่ในกรุงปารีส ทั้งเหล่าจอมขมังเวทย์ที่ไปประกาศศักดาคราวนั้น นอกจากจะ "ไข่" ทิ้งไว้ที่ฝรั่งเศสแล้ว...
บางท่านที่ไม่กลับสยามก็ยังมีส่วนร่วมในการเมืองฝรั่งเศสอีกด้วย...เคยรู้เรื่องกันไหม?
* ส่วนในยุคของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากเงิน "ถุงแดง" ที่เกิดจากการค้าเกินดุลกับราชสำนักจีนแล้ว
ท่านยังมีเรื่องทันสมัยที่ชาวตะวันตกต้องเกรงกลัวอีกหลายเรื่อง...!!!
* กษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์นี้ล้วนอยู่ในยุคที่ชาวตะวันตกกำลังเรืองอำนาจ และส่งกำลังรบเข้าปล้นทรัพยากรกับล่าอาณานิคมอย่างสนุกมือ
แต่ราชอาณาจักรสยามกลับมั่นคงอย่างยิ่งใหญ่...แล้วไฉนศักดิ์ศรีแห่งชาติพันธุ์จึงสูญสิ้น...
จนชาติเพื่อนบ้านที่เคยเป็นเมืองขึ้นของชาวตะวันตกทั้งหมดเขาพูดกันลั่นโลกว่า...มันเป็นแค่ขโมยและโจรปล้นวัฒนธรรม! ...ไม่ได้ยินกันเลยหรือ???
[หมายเหตุ]
ข้อมูลชุดการนับเลขโดยโหราศาสตร์ไทย และชุดคัมภีร์สุริยยาตร์นี้
ต้องเล่าไว้เพื่อให้เห็นความสำคัญของวิทยาการที่ชาวพุทธโบราณท่านทิ้งไว้ให้เป็นมรดก และให้เริ่มมอง "ภาพรวม" ของวิทยาการสายนี้ได้ชัดขึ้นครับ

No comments: