Atthanij Pokkasap
อ้ะ...ว่าน หนุมานนั่งแท่น
แชร์เค้ามามั่ง เขียนเอง รู้เองหลายรอบละ...
สรรพคุณของหนุมานนั่งแท่น
หัวหรือเหง้าใช้กินเป็นยาบำรุงพละกำลังสำหรับผู้ที่ใช้กำลังแบกหามหรือทำงานหนัก
(เหง้า)
เหง้ามีสรรพคุณเป็นยาฟอกโลหิต (เหง้า)
ยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้น้ำยางเป็นยาทารักษาแผลมีดบาด แผลถลอก และใช้ห้ามเลือด
ส่วนวิธีใช้ขั้นตอนแรกก็ให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดเสียก่อน
แล้วซับแผลด้วยสำลีให้แห้ง แล้วใช้มือเด็ดบริเวณก้านกลางใบ โดยให้เลือดใบที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไป เมื่อน้ำยางเริ่มไหลออกมาก็ให้ใช้นิ่วมือรองยางที่หยดลงมา แล้วนำไปป้ายบริเวณแผลวันละ 2-3 ครั้ง แผลก็เริ่มแห้งและตกสะเก็ดภายใน 1-2 วัน(น้ำยาง) ส่วนเหง้าก็มีสรรพคุณเป็นยาสมานแผลเช่นกัน
ตำรับยาพื้นบ้านจะใช้น้ำยางจากต้นหนุมานนั่งแท่นเป็นยาทารักษาฝี
(น้ำยาง)
นำเหง้ามาโขลกให้ละเอียดใช้เป็นยาพอกทาตามข้อมือข้อเท้า นวดแก้อาการเคล็ดขัดยอก
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของหนุมานนั่งแท่น
เมล็ดมีสารกลุ่ม phorbol esters ที่เป็นพิษเช่นเดียวกับสบู่ดำ[2]
สารสกัดจากเมล็ดหนุมานนั่งแท่นด้วยปีโตรเลียมอีเทอร์ มีฤทธิ์ต้านเชื้อราได้ดี[2]
พิษของหนุมานนั่งแท่น
ส่วนที่เป็นพิษ : เมล็ดและยาง โดยมีสารพิษที่ออกฤทธิ์คล้ายกับ toxalbumin,curcin
พิษจาก resin
alkaloid glycoside
อาการเป็นพิษ : น้ำยางเมื่อถูกผิวหนังจะเกิดอาการแพ้ระคายเคือง บวมแดงแสบร้อน
ส่วนเมล็ดหากรับประทานเข้าจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ
คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย หายใจเร็ว การเต้นของหัวใจผิดปกติ กล้ามเนื้อชักกระตุก ความดันโลหิตต่ำ (พิษคล้ายละหุ่ง) โดยเมล็ดจะมีรสอร่อยหากรับประทานเพียง 3 เมล็ด ก็ทำให้เป็นอันตรายได้ และถ้าเข้าตาจะทำให้ตาอักเสบ ตาบอดชั่วคราวได้ แต่ถ้าได้รับในปริมาณมากจะอาจทำให้ตาบอดถาวร
(และห้ามนำเมล็ดหรือผลมารับประทานเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เสียชีวิตได้)
การรักษาพิษ :
ให้ล้างน้ำยางออกจากผิวหนังโดยใช้สบู่ และอาจใช้ยาสเตียรอยด์ทา แต่ถ้ารับประทานเข้าไปให้เอาส่วนที่ไม่ถูกดูดซึมออกโดยใช้ถ่านกัมมันต์
(activated charcoal) ล้างท้อง
หรือรีบทำให้อาเจียน และรักษาไปตามอาการ
ประโยชน์ของหนุมานนั่งแท่น
สมุนไพรหนุมานนั่งแท่นเป็นยาที่ถูกนำมาใช้รักษาแผลในม้า โดยพบว่าได้ยางหนุมานสามารถรักษาแผลให้หายได้ดีกว่าและเร็วกว่ายาเนกาซันท์
ยาปฏิชีวนะ และยาสมานแผลทั่วไป และยังเป็นยาเพียงชนิดเดียวที่ใช้รักษาบาดแผลเนื้องอกได้
ในขณะที่ยาอื่นรักษาไม่ได้ ส่วนแผลเน่าเปื่อยก็รักษาให้หายได้โดยใช้ระยะเวลาที่สั้นกว่ายาอื่นเท่าตัว
(แม่โจ้)
ในด้านของความเชื่อ ในสมัยก่อนมีการนำมาใช้ในทางคงกระพันชาตรี ด้วยการนำหัวว่านมาแกะเป็นรูปพญาวานร แล้วเสกด้วยคาถาพุทธคุณ “อิติปิโส ภะคะวา –
ภะคะวาติ” 3-7 จบ แล้วอมไว้หรือพกติดตัวไว้ จะทำให้ศัตรูแพ้พ่าย
ถ้านำมาแกะเป็นรูปพญานาคราช ให้เสกด้วย “เมตตา” 3-7 จบ เมื่อไปเจรจากับผู้ใด จะมีแต่ผู้รักใคร่
ปรารถนาสิ่งใดก็สำเร็จทุกประการ
ถ้านำมาแกะเป็นรูปพระพรหมแผลงศร
ให้เสกด้วยคาถา “อิติปิโส ภะคะวา – ภะคะวาติ” 3-7 จบ ใครจะมาทำร้ายทิ่มแทงเราก็จะล้มทับตัวเอง อาวุธที่มีก็จะพลัดหลุดจามือ จนสุดท้ายต้องหลบหนีไปเอง
ถ้านำหัวว่านมาแกะเป็นรูปภควัมบดีปิดหูปิดตา
คือปิดทวารทั้งเก้า ให้เสกด้วยคาถา
“อิติปิโส ภะคะว่า – ภะคะวาติ”
7 จบ แล้วนำมาอมไว้ในปาก ผู้อื่นจะมองไม่เห็น ทำร้ายไม่ได้
หรือหากต้องการสิ่งใดก็จะสมดัง ปราถนา และถ้านำมาแกะเป็นรูปพระ แล้วเสกด้วยคาถา
“อะ อิ อุ ธะ 7 จบ
ก็จะช่วยป้องกันอันตรายได้ทั้งปวง”
นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับและว่านมงคลชนิดหนึ่งตามบ้านและวัดทั่วไป นิยมขยายพันธุ์ด้วยการใช้หัวหรือเหง้า
โดยนำดินร่วนปนทรายปนกับผงอิฐดินเผาทุบให้แหลกละเอียด ตากน้ำค้างทิ้งไว้หนึ่งคืน ผสมใบพืชตระกูลถั่ว หญ้าสับ วางหัวว่านไม่ต้องกลบดินจนมิด (ให้หัวโผล่
และให้แสงแดดรำไร) ตอนจะรดน้ำให้ว่าคาถา “นะโมพุทธายะ” 3
จบ และถ้าจะให้ดีควรปลูกในวันพฤหัสบดีข้างขึ้น
เวลานำไปใช้ให้บอกกับต้นไม้ด้วยว่าจะใช้รักษาอะไร
เช่น
“ขอยารักษาแผลหน่อยนะ” แล้วน้ำยางจะไหลออกมามาก
ส่วนอีกความเชื่อหนึ่งระบุว่าถ้าจะขุดหัวว่านมาใช้
ให้เสกด้วยคาถา “สัพพาสี – ภาณามเห” 3 หรือ 7 จบ รดน้ำรอบต้นแล้วขุด ในขณะที่ขุดให้เสกด้วยคาถา “หะนุมานะ โสธาระ” ซึ่งเป็นคาถาผูกอีก 3 หรือ 7 จบ
จึงเก็บหัวว่านมาใช้
และตอนนำมาใช้ก็ต้องเสกด้วยคาถา
“นะโมพุทธายะ” 3 จบก่อนทุกครั้ง
เชื่อว่าจะมีอานุภาพฟันแทงไม่เข้า
No comments:
Post a Comment