พระพุทธเจ้าทรงประกาศการค้นพบว่า...ศาสนาพุทธมีขอบเขตแห่งการค้นพบ คือ จักรวาลแสนโกฏินี้เองรองรับและเป็นขอบเขต !!!

Atthanij Pokkasap  

ปรากฏการณ์ ที่พระพุทธเจ้า ตรัสเรียกว่า...

แสนโกฏิโลกธาตุ... หรือจักรวาลแสนโกฏิ...คือ ๑๐ แสนล้านดวง...
ขณะที่ ดาราศาสตร์สากลยุคศตวรรษแห่งวิทยาศาสตร์สัมพัทธภาพ (คริสตศตวรรษที่ 20)คำนวณว่า ...
มี ๔ แสนล้านดวง....(พุทธ นับจำนวณเต็ม จึงเป็น ๑๐ แสนล้าน)

และพระพุทธเจ้าทรงประกาศการค้นพบว่า...ศาสนาพุทธมีขอบเขตแห่งการค้นพบ

(อาชญาเขต...อำนาจพระปริตร) คือจักรวาลแสนโกฏินี้เองรองรับและเป็นขอบเขต !!!

หลักสูตรการเรียนพระพุทธศาสนา ควรศึกษาตามหลักฐานเป็นจริงได้แล้ว...
เลอะเทอะ เละเทะ บิดเบี้ยวกันมามาก  จนฉิบหายขนาดนี้แล้ว.....
ยังไม่โงหัวลืมตามาดูข้อมูลแท้จริงกันอีก หรือ ?!!

Panu Wongpanuvut    มันไม่รู้และไม่อยากรู้ ยากเกินความเข้าใจ อ่านแต่พวกสำเร็จรูปฉบับประชาชนที่มันตัดทิ้งกับแต่งเองให้มันอ่าน

Atthanij Pokkasap  วิทยาศาสตร์ที่ไม่รู้เรื่อง ค่าสัมพัทธ์ของเวลาอันเนื่องมาจากการหมุน ๔ ระบบของโลก จะมารู้เรื่องนาฬิกาแห่งชีวิตของมนุษย์ ได้ยังไง?!!

การหายใจนั้นมีระบบอยู่ เป็นระบบสัมพันธ์กับคลื่นความถี่ของดวงดาว ลมหายใจที่ไร้ระเบียบยังคุมไม่ได้ชะตากรรมที่เห็นจากดวงดาวรู้ไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้

ศิริศักดิ์ โมรัฐเสถียร   ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องดวง

Atthanij Pokkasap  ความรู้ ไม่ใช่เรื่องของความเชื่อ แต่ความเชื่อทำให้ได้มาซึ่งความรู้จริง ความเชื่อที่ไม่ทำให้เกิดความรู้ คือความเชื่อที่เลื่อนลอย เพราะเชื่อไม่บริสุทธิ์ใจ

Atthanij Pokkasap  ความรู้ที่เรียกว่า "มั่ว"  คือ....

๑. ความรู้ที่เกิดจากความเชื่อ(สัทธา,ศรัทธา)

๒. ความรู้ที่เกิดจากความพอใจ(รุจิ)

๓. ความรู้ที่เกิดจากการสอนการเรียนตามๆกันมา(อนุสสวนะ)

๔. ความรู้ที่เกิดจากการพิสูจน์ได้โดยหลัการทางตรรกศาสตร์ ตรรกวิทยา(ปริวิตักกะ)

๕. ความรู้ที่เกิดจากการพิสูจน์ได้ทุกครั้งไปเพราะกำหนดไว้ด้วยกรอบจำกัดทางทฤษฎี(ทิฏฐินิชฌานขันติ)เฉพาะเรื่องที่ตนต้องการ 

พวก วัชพืชโซเชี่ยล...
ที่เที่ยวยัดเยียดความไม่มีสมองของตัวมันเอง ว่า..เป็นความงมงายของผู้อื่นเขา...
มันจะมีปัญญารู้เรื่อง มั้ย เนี่ย ?!!!

Atthanij Pokkasap  เวลาที่ใช้คำนวณหาพิกัดดวงดาว เป็นเวลาที่อาศัยปริมาณของ

ลมหายใจที่เป็นระเบียบระดับสูงมาก จึงถ่ายทอดให้ฝึกสะสมเพื่อควบคุมชะตาชีวิตไม่ให้เลวร้ายกว่าที่กำลังเป็น เพราะโลกปกติหมุนไปตามอารมณ์อยู่แล้ว ถ้าหายใจเป็นระเบียบจริง ก็ควบคุมเหตการณ์ได้ เพราะหายใจไร้ระเบียบ ศรัทธาย่อมเลื่อนลอย...เสียดายของสูง ที่รีบบอกเร็วไปจึงต้องกลายเป็นสิ่งไร้คุณค่า..

Atthanij Pokkasap  ระเบียบของลมหายใจ สัมพันธ์กับคลื่นโคจรของดวงดาว...อย่างนี้ จึงเป็นที่มาของเวลาชนิดต่างๆ.. ถ้าหายใจเป็นจริง มันเกิดปัญญาไปแล้ว..ไม่ใช่อารมณ์ของกิเลส

Atthanij Pokkasap  โหราศาสตร์คือวิชาว่าด้วยการเปรียบเวลาภายในร่างกายกับเหตการณ์โลกที่เป็นเวลาภายนอกที่เป็นนิเวศน์รอบตัว

Atthanij Pokkasap  การปรับค่าลมหายใจ คือการกำหนดค่าเหตการณ์ภายนอก ไม่เรียนโหราศาสตร์ ก็ไม่รู้ทั้งภายใน ไม่รู้ทั้งภายนอก แล้วก็จะเป็นเหมือนพวกพระ พวกอยู่วัดทั้งหลาย

Atthanij Pokkasap  วิชาโหราศาสตร์แบบง่ายๆ ไม่มีในโลก ถ้ามีก็คือวิชาลวงโลก เร มต้นด้วยการโกหกตัวเองก่อน

Yutthana Sirisilp    ดูไปแล้ว โหราศาสตร์...ไม่น่าจะใช้ในการดูดวง....น่าจะมีนัยยะ มากกว่านั้น

Panu Wongpanuvut    คำนวณปริมาตรสัดส่วนละอองดาวที่สังเคราะห์มาเป็นร่างกาย

Panu Wongpanuvut    จงอย่าได้สำคัญผิดคิดเอาเองว่า  เหตุการณ์สำคัญระดับจักรวาลทั้งหลายต้องมาจำเพาะผูกขาดเกิดขึ้นบนดาวโลกดวงนี้เพียงเท่านั้น

พระศรีอาริยเมตไตรยเองก็ไม่ใช่ชาวโลกแน่นอน    เพราะทั้งอายุขัยที่ยาวนานถึง ๘๐,๐๐๐ ปี และส่วนสูงของร่างกายที่สูงถึง ๔๔ เมตร(๘๘ ศอก)  เป็นเพียงการอุปมาเทียบเคียงกับมาตราหน่วยวัดของชาวดาวโลกนี้ใช้กันเท่านั้น

หากกลับกัน ในมุมมองของมนุษย์ดาวอื่นซึ่งมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี และส่วนสูงของร่างกายที่สูงถึง ๔๔ เมตร(ตามการคำนวณเทียบเคียงกับมาตราวัดต่างๆของโลกนี้)  ก็อาจมีการอุปมาว่า

มนุษย์ของดาวโลกดวงนี้  มีส่วนสูงเท่ากับนิ้วมือของมนุษย์ในดาวดวงนั้นก็เป็นได้เช่นกัน
(แหม่  เขียนยาวนิดยาวหน่อย มันแนะให้เปลี่ยนไปเขียนเป็นบทความแทนซะงั้น) 

Panu Wongpanuvut    รูปลักษณ์ของมนุษย์คือรูปลักษณ์สากลที่จักรวาลยอมรับแล้ว ตั้งแต่สวรรค์สุดรูปพรหม ล้วนอยู่ในรูปกายมนุษย์ทั้งสิ้น แม้แต่มนุษย์ทั้งหมื่นโลกธาตุก็เช่นนั้นผิดกันแต่ส่วนสูง ฝรั่งจินตนาการมนุษย์ต่างดาวกันไปเอง

ถ้าอาภัสสรพรหมหลุดมากินอาหารคนยุคนี้ แค่มื้อเดียวก็คงกลายพันธุ์เป็นมนุษย์แล้ว

(ดีไม่ดีแค่คำเดียวก็เสื่อมจากภาวะพรหมหมดแล้ว)

Atthanij Pokkasap  กำเนิดกรดอมิโนสร้างเนื้อเยื่อเป็นอินทรียสาร
มาจาก แรงไฟฟ้าเคมีชีวภาพจากกระบวนการหายใจ 1 หน่วย เข้าควบคุมแรงนิวเคลียร์ชนิดเข้ม 100 หน่วย เพื่อสังเคราะห์อะตอมธาตุคารบอนให้เป็นสารประกอบที่มาของหมู่กรดอมิโนแล้วพัฒนาขึ้นเป็นอินทรียสารประกอบเป็นองคาพยพแห่งสัตวบุคคล
เป็นการค้นพบที่พระพุทธศาสนา เรียกว่า

นามรูป→วิญญาณ ,วิญญาณ → นามรูป ในปฏิจจสมุปปาท ครับ.

Atthanij Pokkasap  นี่คือความรู้ทดสอบความรอบรู้เรื่องวิทยาศาสตร์สัมพัทธภาพแห่งคริสตศตวรรษที่ 20 ที่ใกล้ชิดกับการค้นพบของพระพุทธศาสนาที่สุด..ว่า ใครมันจะรู้บ้าง

เมื่อฝึกฝนการหายใจด้วยเทคนิคที่ถูกต้องตามบันทึกลับของอานาปานสติสมาธิ และ

มหาสติปัฏฐานสูตร ก็จะเข้าถึงคำอธิบายอันเป็นวิทยาศาสตร์ของ อภิญญา และปาฏิหาริย์แห่งอภิญญาในพระพุทธศาสนาทั้งหมด ไม่ใช่คำอธิบายที่เลื่อนลอยอย่างที่มีเกร่อทั่วประเทศไทย

ในขณะนี้

ปฏิเสธ อิทธิฤทธิ ๑
ไม่มี อิทธิฤทธิ ๑
อย่ามาแตะต้องคำสอนชั้นสูงของพระพุทธศาสนา

เพราะกิจสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือ วิชชา ๓(เตวิชชา), อภิญญา ๖(ฉฬาภิญญา), วิชชา ๘, วิมุตตายตนะ ๕, กสิณายตนะ ๑๐ ทั้งหมดเป็นเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ บนพื้นฐานการอบรมจิตให้ขาวสว่างรอบ(สจิตฺตปริโยทปนํ) ทั้งสิ้น

                                

Atthanij Pokkasap  พวกที่สอนบิดเบือน ตาคาสายยางเสียบคอ เสียบพุงทั้งนั้น

Atthanij Pokkasap  หมวดเทวดาสังยุต...นั้นคือ เพื่อนผู้ประพฤติพรหมจรรย์ร่วม

พระโพธิสัตว์ในแต่ละพุทธันดรที่ล่วงหน้ามาก่อนพระพุทธเจ้า...เป็นมหาเหตุการณ์ที่เชื่อมต่อ พุทธันดรกัป กับพุทธันดรกัป...ถ้ายอมรับความมีอยู่ของเทวดาไม่ได้...ก็อย่ามานับถือพระพุทธศาสนา

Atthanij Pokkasap  กำเนิดของชาตินี้-ชาติหน้า เป็นพลังงานจากระบบการสั่นสะเทือนของคลื่นรับรู้ของอายตนะประสาททั้ง ๕ มีความปรารถนาแห่งใจเป็นอายตนะประสาที่ ๖ เป็น ยางห่อเลี้ยงให้ไปสู่การเกิดในภพใหม่ ไม่มีความรู้เรื่องพลังงานในกฏอนุรักษกรรมแห่งพลังงานที่เป็นกฎพื้นฐานสามัญของวิทยาศาสตร์ ก็จงรีบๆไปตายซะ อย่ามาอยู่เสียชาติเกิดเลย

Atthanij Pokkasap  เพราะไม่เคยฝึกอบรมจิตตามธรรมเลย

มึงจึงไม่รู้ว่า ปาฏิหาริย์ มีอยู่จริง...เป็นคุณธรรมของมนุษย์ด้วย

ไม่มีวิญญาณไปเกิดใหม่ มีก็แต่...การเกิดใหม่ของวิญญาณ(ปฏิสนธิวิญญาณ)

พระ..พวกมึงอย่ารู้มั่ว สอนมั่ว..

Atthanij Pokkasap  ฌาน และวิปัสสนา =คุณธรรม
ภาษาไทยมันเอาคุณธรรมมาใช้ในความหมายอะไรของมัน?

Atthanij Pokkasap  เหตุการณ์ใดที่ อัปปัสสุตชน...มันไม่เคยรู้ มันว่าเป็นไปไม่ได้... เหตุการณ์นั้นๆแหละ ที่ผู้มีปัญญาความสามารถในความเป็นมนุษย์อันยิ่งพึงทำกัน
ไม่เช่นนั้น จะมี ศัพท์ว่า "อุตริมนุสสธรรม" ขึ้นมาทำไม
(อัปปัสสุตตชน... อัป + สุตตะ + ชน= คนที่ไม่เคยเรียน ไม่เคยรู้...ว่าโลกเขามีอะไรมากมายที่เกินสมองอย่างพวกมันรับ)