วันนี้โบราณจัดและยากจัด...เรื่องเอ็น
(นหารู)
วันนี้
อยากนำเสนอให้ท่านเข้าใจในองค์ความรู้ที่เรา แพทย์แผนไทยไขปริศนากันไม่ออกในหลายๆเรื่อง เพียงเพราะมองข้ามเรื่องรายละเอียดที่ทุกคนมองว่าน่าเบื่อ
เยอะ ไม่มีสาระที่ควรจดจำ เพราะโบราณมากไป อ่านท่องจนเป็นนกแก้วนกขุนทอง ส่วนข้าพเจ้าเองถือว่าเป็นผู้เรียนรู้อะไรยังไม่รู้จำเป็นต้องวิเคราะห์ออกมาตามสายงานธาตุเค้าเรียนศาสตร์ไทย จึงหา
อัตลักษณ์แบบไทย จึงค้นดว้ามาเรื่อยๆ เชิญลองอ่านค่ะ
.
นหารู (เอ็นทั้งหลาย) มีเอ็น ๙๐๐ เส้น จากพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค
ว่าโดยสี เอ็นทั้งหมดมีสีขาว.
.
ว่าโดยสัณฐาน มีสัณฐานต่างๆ
จริงอยู่ เอ็นเหล่านั้น
.
เอ็นใหญ่ ที่รึงรัดสรีระตั้งแต่เบื้องบน
แห่งคอหยั่งลงไปข้างหน้าหทัย ๕ เส้น ข้างหลัง ๕ เส้น ข้างขวา ๕ เส้น ข้างซ้าย ๕
เส้น
.
แม้รึงรัดมือขวา ข้างหน้ามือก็ ๕ เส้น ข้างหลังมือก็ ๕ เส้น แม้ที่รึงรัดมือซ้ายก็อย่างนั้น
.
ที่รึงรัดเท้าขวา ข้างหน้า เท้าก็ ๕ เส้น ข้างหลังก็ ๕ เส้น แท้ที่รึงรัดเท้าซ้ายก็อย่างนั้น
.
เอ็นใหญ่ ๖๐ เส้น รึงรัดหยั่งลงตลอดกายอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ จึงชื่อว่า สรีรธารกา(ทรงไว้ซึ่งสรีระ) ท่านเรียกว่า
กัณฑรา ดังนี้บ้าง เอ็นเหล่านั้นแม้ทั้งหมด
มีสัณฐานดังต้นคล้าอ่อนๆ
.
ส่วนเอ็นเหล่าอื่นที่รึงรัดส่วนนั้นๆอยู่ คือที่เล็กกว่า
(สรีรธารกา)นั้นมีสัณฐานดังเชือกด้าย.
.
เอ็นเหล่าอื่นที่เล็กกว่านั้น มีสัณฐานดังเถากระพังโหม.
.
เอ็นเหล่าอื่นที่เล็กกว่านั้น มีสัณฐานดังสายพิณใหญ่
.
เอ็นเหล่าอื่นอีกมีสัณฐานดังเส้นด้ายใหญ่.
.
เอ็นที่หลังมือ และเท้า มีสัณฐานดังตีนนก.
.
เอ็นที่ศีรษะมีสัณฐานดังตาข่ายคลุมหัวเด็ก.
.
เอ็นที่หลังมีสัณฐานดังอวนเปียกที่เขาแผ่ผึ่งแดด.
.
เอ็นที่เหลือซึ่งไปตามอวัยวะน้อยใหญ่นั้นๆ มีสัณฐานดังเสื้อร่างแหที่คลุมสรีระ.
.
ว่าโดยทิศ เอ็นเกิดในทิศทั้ง ๒.
.
ว่าโดยโอกาสตั้งยึดกระดูกทั้งหลาย ในสรีระทั้งสิ้น.
.
ว่าโดยปริจเฉท เบื้องต่ำกำหนดด้วยพื้นอันตั้งอยู่บนกระดูก ๓๐๐
ท่อน
.
เบื้องบนกำหนดด้วยประเทศที่ตั้งอยู่จดเนื้อและหนัง
.
เบื้องขวางกำหนดซึ่งกันและกัน.
นี้เป็นสภาคปริจเฉทของเอ็นเหล่านั้น ส่วนวิสภาคปริจเฉท เช่นกับเส้นผมนั่นแหละ.
.
ส่วนนี้ในพระคัมภีร์ ธาตุวิวรณ์
กล่าวว่า เมื่อเอ็นพิการ จะทำให้เส้นประธาน ๑๐ เส้นแลเส้นบริวาร ๒๗๐๐
เส้นๆ ให้หวาดหวั่นไหว ไปสิ้นทั้งนั้น ที่กล้าก็กล้า ที่แข็งก็แข็ง ที่ตั้งดาน ก็ตั้งดาน ที่ขอด ก็ขอดเข้าเปนก้อนเปนเถาไป ที่จะเปนโทษหนัก นั้นแต่เส้นอันชื่อว่า สุมนา
แลอำมพฤกษ์
.
เส้นสุมนานั้นผูกดวงใจ มีแต่จะให้สวิงสวาย ทุรนทุราย หิวโหยหาแรงมิได้ อันว่าเส้น
อำมพฤกษ์นั้นมีแต่จะให้กระสับกระส่าย
ให้ร้อนให้เย็นให้เมื่อยให้เสียวไปทุกเส้นทุกเอ็นทั่วทั้งตัว
ตั้งแต่ศีร์ษะตลอดลงไปถึงที่สุดจนเท้า บางทีให้เจ็บเปนเวลา แต่เส้นอำมพฤกษ์นั้นให้โทษ ๑๑ ประการ ถ้าให้โทษพร้อมกันทั้ง ๒๗๐๐ เส้นแล้วก็ตายแล ถ้าเปนแต่ ๑ , ๒ ,
๓ ,๔ หรือ ๕ เส้นยังแก้ได้
.
ส่วนนี้โรคนิทานคำกลอน ที่มาของการสืบค้นเส้นสิบของแผนไทย
.
สืบเรื่องในเบื้องหน้า ณะหาโรติดต่อไป
ณะหาโรคือเส้นเอ็น ท่านจัดเป็นธาตุดินไซร้
.
คัมภีร์วิภังค์ไข เก้าร้อยเส้นเป็นประมาณ
เอ็นใหญ่นั้นหกสิบ จำยกหยิบให้วิถาน ดุจดำบุพพาจารย์ ท่านกล่าวไว้ในบาลี
.
วรรณเส้นนั้นขาวไซร้ ร้อยกลิ่งไว้ซึ่งอัฐฐี
สามร้อยท่อนดังนี้ เล่ห์วิธีร้อยรูปหุ่น
ด้วยสายไหมบรรจง ยังรูปทรงตั้งบริบูรณ์ ที่อยู่เส้นทั้งมูล ชิดอัฐเป็นเบื้องต่ำ
เบื้องบนจนเนื้อขาว เคียงเรียงกล่าวเส้นเป็นลำ ที่แห่งเส้นเอ็นประจำ
โดยสีข้างข้างละห้า
เบื้องหลังก็เหมือนกัน
ละห้าอันเรียงเคียงมา โดยท้องแขนแลขา ข้างละห้าเหมือนแบบตั้ง
ประสมเส้นหกสิบไซร้ ส่วนเส้นใหญ่ตามวิภังค์ เส้นน้อยทั้งปวงหวัง ดังเครือวัลย์พันพฤกษา
ร้อยรอบอัฐิน้อย แล้วกลับร้อยเส้นใหญ่มา ปลายสุดแห่งนักขา รวบประชุมณะคอนั้น
เส้นน้อยแปดร้อยเศษ โดยสังเกตสี่สิบพลัน สัณฐานดังเชือกอัน บุคคลควั่นแลร้อยไว้
ซึ่งอัฐิอันน้อยๆ มิให้ถอยจากกันไป ให้ติดต่อตามวิสัย แห่งเพศรูปบุรุษย์หญิง
นามเส้นไม่ปรากฏ บทบาลีไม่มีจริง ฝ่ายแพทย์กล่าวเพราพริ้ง
ขนานนามต่างๆ มี
เส้นหนึ่งชื่ออิทา ปิงคะลาแลทารี สุมะนากังขุงสี ทั้งภูสำทวาระจันทน์
หนึ่งเส้นหัศรังศรี รัดขินีสุกขุมนั้น ประสมเส้นเป็นสิบอัน ล้วนเส้นใหญ่แผนคัมภีร์
นอกจากเส้นสิบนั้น ชื่อผิดกันยังมากมี จะคัดไขในวิธี เส้นเหล่านี้เมื่อเกิดกาล
ประเภทอันราญร้าว ดุจกล่าวให้วิถาน ณะหารูร้าวราญ กำเริบเป็นโรคต่างๆ
คือให้จับสะบัดร้อน กลับย้อนหนาวให้เมื่อยคราง ปวดเศียรกระมลหมาง บ่มีสุขในอินทรีย์
อำมะพฤกษ์กำเริบกล้า อาหาราบ่ภุญชี ถึงโอชะอันเลิศดี จะสูบเสพย์ก็เสื่อมรส
เส้นใหญ่วิกลบ่อย เส้นน้อยๆ ก็พลอยหมด ทีนั้นจึงปรากฏ เป็นก้อนผ่านในครรภา
บางทีเป็นลำเถา แข็งขิงเรารอบอุรา รวบรัดมัดกายา เมื่อลุกนั่งทั้งยอกแทง
ให้ระหวยระทวยใจ บ่หลับได้ให้ถอยแรง ที่ขอดก็ขอดแข็ง เป็นเกลียวกลึงขึงไปมา
เป็นแพทย์อย่าเพิกเฉย
อย่าละเลยหมั่นศึกษา ให้ชำนาญวิทยา หมั่นตรึกตราให้ชัดเจน
รู้จักโรคนั้นแน่ เลือกลมแปรหรือเส้นเอ็น รู้โรคเป็นเอ็นเส้น จึงผันผ่อนด้วยนวดนิ้ว
แก้เส้นที่หดห่อ ก่อดานเถาชักติ่งคิ้ว ประจงอย่าผลักพลิ้ว แก้หิ้วไส้ติ่งอุรา
ค่อยประทับระงับเส้น อำมะพฤกษ์เผ่นกำเริบกล้า เผยลมถึงบาทา จึงจะเบาบันเทาคลาย
กล่าวโทษแห่งอำมะพฤกษ์
อันเหิมฮึกวิการร้าย มักกระทำระส่ำระสาย ให้ร้อนเย็นแลเมื่อยเสียว
สะเทื้อนทั่วทั้งเส้นเอ็น
ให้ก่อนเป็นก้อนดานเกลียว แต่บาทาตลอดเลี้ยว จนสุดเศียรบ่วางเว้น
บางทีทำจับหนอ เป็นเวลาก็เพราะเส้น อำมะพฤกษ์สิ่งเดียวเป็น ประกอบโทษสิบเอ็ดประการ
แม้นพร้อมเส้นใหญ่น้อย
อายุถอยบ่ยืนนาน แต่สี่ห้าพอประมาณ หยูกยาแก้พอประทัง
.
อำมะพฤกษ์เบื้องซ้ายจบ กล่าวปรารภเส้นเบื้องขวา อำมะพาธพิณทะนา วิการาโทษทำพอ
แข็งขึงเป็นลำเถา ชักคู้เข่าทำงอนหง่อ เป็นเหน็บไปตำหระหนอ ก็เกิดโทษตีนมือตาย
มือเท้าเย็นเป็นเหน็บ
มักเสียวเจ็บขัดข้อหมาย ทั้งอกใจไม่สบาย ระทดทวยระหวยแข็ง
จะย่างเท้าก้าวเดินหนอ
เสียวขัดข้อย่อมพลิกแพลง โทษกล้ากำเริบแข็ง เป็นง่อยเปลี้ยมัก
เสียคน
บ้างกระทำชักอ้า ปากหน้าตากกระหยิบลน สูงสั่นดังหุ่นกล เล่ห์หลักปักระริกรัวพลอยทับโทษอังคะมังคะ วาตะสร้างวิการมัว สั่นเริ้มสิ้นทั้งตัว ดังปู่เจ้าปีศาจสิง
อำมะพาธนี้โทษลึก แพทย์อย่าฮึกยากจริงๆ อำมะพฤกษ์เป็นเส้นยิ่ง ถึงโทษหนักก็ยังนาน
เส้นสองกระหนาบสูนย์ โลกทั้งมูลว่าเส้นประธาน ถ้อยคำบุพพาจารย์ แพทย์โบราณตั้งเป็นมูลเป็นกุศลาอกุศลา อัพยาคือเส้นสูนย์ แม้นเส้นสามตระกูล รู้ชั่วดีในกายตน
.
รู้เป็นแลรู้ตาย เพราะเส้นสายทำวิกล วิชาดีเล่ห์หนึ่งคน อันแม่นยำชำนาญปราน
.
ยอมทายทักประจักร์แม่น เพื่อลมแล่นกระทบพาล
สูรย์จันทร์ใครกล้าหาญ
หรือพระเหียร (ขวา)
มะหิหนัก (ซ้าย)
เห็นเหตุจึงภิปราย ธิบายบอกแม่นประจักร แพทย์ก่อนท่านรู้หนัก รู้วิธีแห่งลมจร
วิธีเส้นก็ดูลม อันสมาคมเส้นกล้าหย่อน ผู้แพทย์ท่านแต่ก่อน กำหนดลมเล่ห์ดังปราณ
ลมเดินดำเนินเส้น รู้ตายเป็นรู้เร็วนาน จะกล่าวมาก็เหลือญาณ วิชาชาญพาลรู้น้อย
ดังบุคคลวิดสมุทร ให้สิ้นสุดด้วยฝาหอย อายุสักกี่ร้อย จะวิดแห้งเห็นเหลือกาล
วิธีเส้นก็แสนลึก ยากหยั่งตรึกให้วิถาน อำมะพาธเมื่อวิการ เยียวยายากใช่พอดี
ชำนาญทั้งนวดยา จักรักษาได้ถ้วนถี่ รู้ทางเดียวไม่ใคร่ดี หาอื่นช่วยป่วยการเปล่า
ต่างคนก็ต่างแย้ง หมอยาแคลงหมอนวดเขลา หมอนวดกินใจเอา ว่าวางยาไม่ชอบลม
เรียบเรียบเส้นไว้ดี ยาถูกที่หายนานนม หมอยาก็กล่าวข่ม หยูกยาเราวางถึงจอม
นวดดีเส้นสายแม่น ปานนี้แล่นเดินได้พร้อม เหตุฉะนี้เราก็ย่อม ยินมามากหมอมารยา
เบื้องนี้จะบอกเพศ พึงสังเกตบอกวิทยา อำมะพาธนวดบาทา กลางใจตีนเป็นที่ตั้ง
นวดตลอดจนต้นขา ถึงสายเสียดข้างขวาหวัง เหนี่ยวหน่วงจงเจาะจัง ทั้งบั้นเอวให้เอ็นอ่อน
ประทับเส้นอำมะพาธ ข้างขวามากให้ยืดหย่อน เผยลมให้แล่นร้อน นวดให้ถอยถึงเดิมดี
นวดหลังกระทั่งไหล่ ใครตามแขนข้างขวานี้ เบื้องซ้ายนวดตามมี ประสมพลอยพอเป็นการ
ทำฉะนี้สี่สามหน แล้วจึงปรนกินยาผลาญ ขับลมอันวิการ ดังตำหรับบังคับมี
พริกล่อนแลว่านน้ำ โกศสอซ้ำทั้งดีปลี ตำผงระแนงดี ละลายน้ำขิงน้ำร้อนกิน
เกลือปนรำหัดซ้ำ วิเศษล้ำอย่างพึ่งหมิ่น อำมะพาธวินาศสิ้น ลมตะคริวก็กินหาย อำมะพาธประกาศยา ยุติกาจบบริบูรณ์ ฯ
ปัตตะฆาฎชาติเส้นเอ็น
กำเริบเป็นเบื้องนอกใน วิธีทำโทษมะไหย ให้เจ็บเอวเอ็นเป็นลำ
ติ่งตลอดยอดทรวงอก ให้เจ็บฟกสุดแสนร่ำ พรรดึกพลอยผูกซ้ำ ทำจุกเสียดเพราะเส้นกล้า
วิธีโทษทำร้อนรุ่ม กายเล่ห์สุมเมื่อยแข้งขา สะเอวเป็นเหน็บชา เสียดสันหลังบ่นั่งตรง
มึนเมื่อยซึ่งต้นคอ แถวบ่าหนอหนักสูงทรง อาหารกินไม่ลง แต่นิดน้อยพลอยอิ่มอึ้ง
จะหลับนอนบ่ห่อนได้ กรำกรากใจตาแข็งขึง ปัตตะฆาฎโทษลึกซึ้ง สะดุ้งยอกออกปากโอย
เส้นทะเวทเพศปัตตะฆาฎ
ดูสามารถย่อมดิ้นโดย จะไหวพลิกเสียวร้องโอย ดังร่างกายจะแหลกยับ
กายนั้นแข็งกระด้าง เล่ห์ปลาย่างอยู่ในตับ จดนิ้วร้องทุกงับ กลับสะดุ้งร้องร่ำไป
ผิวชาให้สากคล้ำ หมองดำดังต้องควันไฟ แพทย์จะแก้กำหนดไว้ จับเส้นเอ็นที่บั้นเอว
ประทับนวดสองตะคาก นวดซ้ำมากให้อ่อนเหลว ยกมืออย่าให้เร็ว แก้สันสายเสียดสอดเส้นใน
ไคลหน้าอกยกมือซ้ำ ปล้ำสันหลังหมั่นคลึงไคล สบักรวมต้นคอไหล่ ไคลลงแก้ขาตีน
สองเส้นหน้าแข้งหนา นวดอาฌามักปวดดิ้น กล่าวไปใช่สุดสิ้น วิธีนวดรู้ต่างๆ
แพทย์จะแก้พึงต้มยา ตามตำราประจุล้าง ชำระโทษให้เบาบาง เส้นสายกระด้างที่ขอดแข็ง
แม้แพทย์จะรักษา จงต้มยาอย่าได้แคลง ขี้เหล็กทั้งห้าแรง อีกมะกาทั้งห้าซ้ำราชพฤกษ์เอาทั้งห้า ตรีผลาวิเศษล้ำ โคกกระสุนวัลย์เปรียงขำ ซ้ำฝางหอมผักเสี้ยนผี ต้นสามเอาหนึ่งกิน เป็นอาจิณแก้เส้นดี แก้ดานเถาคลายคลี ให้นวดซ้ำหมั่นกินยา
สรุปว่า
กลุ่มหมอได้สมมุติให้มี
เส้นประธานทั้งสิบอยู่ในสังกัดนหารู เพื่อง่ายต่อการจัดลำดับ แค่ส่วนของลมในเส้นสิบก็ยังสืบค้นกันอยู่เลย เพราะนอกจากนี้ยังมี
เส้นในชั้นเนื้อแดงที่มัดผูกกันไว้ ตามกลอนอีก มีเส้นรัตตฆาต เส้นสันทฆาต เส้นมุตฆาต เส้นอัมพาต และเอ็นอัมพฤกษ์ ก็คือส่วนหนึ่งของนหารู มีลมอัมพาตและอัมพฤกษ์วิ่งอยู่ ส่วนปัตฆาตก็เป็นเอ็นอย่างหนึ่งในนหารูเช่นกัน ในรูปแผนนวดจึงแสดงการวิ่งของลมที่มีอยู่ในเส้นเอ็นนี้ตามหน้าที่ของตนให้ครบ
๒,๗๐๐ เส้น แยกเอ็นใหญ่ ๙๐๐,
เอ็นน้อย ๙๐๐๐ ดั่งท่านบรรยาย
.
ถามว่าถ้าศิษย์ไม่ท่องไม่อ่านจะตีโจทย์แตกไหมนี่ เน้นไม่อ่านไม่ท่อง ไม่ลงลึก จะรู้ไหมโบราณจารย์ท่านหมายถึงอะไร ขนาดตัดไปเยอะมากแล้วนะนี่ เพียงแค่เรื่องเส้นเอ็นเท่านั้นนะ
ข้าพเจ้าตีความได้แล้วมิใช่เอามาอวดความรู้
เพียงแค่จะบอกว่าอย่ายกตนข่มท่าน ถ้าท่านยังไม่รู้อย่าปรามาสสำนวนโบราณ แล้วสื่งที่ท่านตีความกันเอง ท่านคิดว่าถูกจริงหรือ
อย่าดูถูกปัญญาครูปู่ย่า ถ้าไม่ลึกจริงคงไม่มีถึงวันนี้ โดนจดลิขสิทธิ์ไปหมดประเทศแล้ว เพียงเพราะต่างชาติรู้คุณค่าแต่ขาดเรื่องตีความ โอ...วันนี้อารมณ์ครูโบราณเข้าสิง.....บอกว่าชอบของยากค่ะ
ส่วนบนของฟอร์ม
Atthanij Pokkasap เส้นสูรย์จันทร์ นี่ "พระบาลี" ...มีกล่าวไว้ในหมวดชาดก
...เคยผ่านตาหลายรอบ แน่นอน... แต่ ตอนนี้ยังหาบันทึกไม่เจอ ว่า อยู่ใน
คัมภีร์เล่มไหน ครับ
เอะใจ ตรง ที่กลอนว่า
"นามเส้นไม่ปรากฏ บทบาลี ไม่มีจริง....ฯลฯ...."
มี คร้าบ...มี พระบาลีกล่าวไว้ ผมนิ...คัดเอาไว้เลย
ล่ะ....รอกลอนวรรคนี้มาสองนานแล้ว...
ฮี่ ฮี่...
ส่วนล่างของฟอร์ม
No comments:
Post a Comment