Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Monday, January 28, 2019

กายสังเคราะห์จิต & จิตสังเคราะห์กาย...ตามการค้นพบที่ถูกต้องของพระพุทธศาสนา




Atthanij Pokkasap 


กายสังเคราะห์จิต & จิตสังเคราะห์กาย
ตามการค้นพบที่ถูกต้อง ของพระพุทธศาสนา
"นายขยะ" 
Atthanij Pokkasapเอาอะไร?
ที่ไหน? อย่างไร? มาพูด
???!


ตอบว่า....
กำเนิดมนุษย์ และ จุติ-อุบัติ จิตมนุษย์
ที่พระพุทธศาสนาค้นพบนั้น มี ๒ ภาค

ภาคที่ ๑.
กำเนิดจากครรภ์(ชลาพุชะ)
มีรายละเอียดอยู่ใน "อินทกสูตร" สคาถวรรค สังยุตตนิกาย
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่ม ๑๕/๔๕
เป็นปรากฏการณ์สร้างระบบอายตนะประกอบขึ้นเป็นตัวชีวิต

ภาคที่ ๒.
กำเนิดจาก "อาภัสสรพรหม"
หรือ กลุ่มธุลีธาตุแสงสว่างแห่งดวงดาว
มีรายละเอียดอยู่ใน "อัคคัญญสูตร" ปาฎิกวรรค ทีฆนิกาย พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่ม ๑๐/๔๕

♡♡♡♡♡♡♡♡♡


ขยายนัยะ ;

ภาคที่ ๑. คือการค้นพบ "กายสังเคราะห์จิต"
โดย เมื่ออายตนประสาทกระทบกับสิ่งเร้า ทำให้เกิดคลื่นสั่นสะเทือนVibration)เป็น
"พลังงานรู้"...พระพุทธศาสนาเรียก พลังงานรู้เหล่านี้ตามชนิดของอายตนะ ได้แก่ :-

๑.๑ รู้รูปทางตา = จักขุวิญญาณ
๑.๒ รู้เสียงทางหู = โสตวิญญาณ
๑.๓ รู้กลิ่นทางจมูก = ฆานวิญญาณ
๑.๔ รู้รสทางลิ้น = ชิวหาวิญญาณ
๑.๕ รู่สิ่งเร้าทางกาย(โผฏฐัพพะ) = กายวิญญาณ
๑.๖ รู้ ปรุงแต่ง รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ = มโนวิญญาณ


ทั้ง ๖ "วิญญาณ" นี้ เป็น "จิต" ที่อุบัติจากกาย โดยระบบอายตนะประสาทสังเคราะห์ขึ้นมา ด้วยการอาศัย ระบบประสาท(พระพุทธศาสนา เรียก จักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร และมโนทวาร)ที่มีสมองส่วนล่างเป็นหน่วยประมวลผล ทำงานร่วมกับ "มโนธาตุหรือ มโนวิญญาณธาตุ ที่กำหนดการส่งเสบียง คือ ออกซิเจน เกลือแร่ และอาหาร ผ่านเลือดไป
หล่อเลี้ยงให้พลังแก่สมองส่วนล่างเพื่อประมวลผลประสบการณ์
สำนวนในพระไตรปิฎก ภาคนี้ คือ
"นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ"


ภาคที่ ๒. คือการค้นพบ "จิตสังเคราะห์กาย"
โดย เมื่อ อายตนประสาททั้งระบบที่ก่อตัวแล้วถักประสานเป็นรูปร่างสัตวบุคคลที่มีชีวิตขึ้นมา ต้องใช้พลังงานสร้าง คลื่นพลังงาน...ตามระบบการทำงานในแต่ละส่วนของอายตนะ
ธาตุรู้ คือ "มโนธาตุ, มโนวิญญาณธาตุ" ที่อาศัยอยู่ในช่องเล็กๆของหัวใจและเป็นตัวกำหนด ประสิทธิภาพการหายใจกับระบบหมุนเวียนโลหิต ที่สัมพันธ์กับ ระบบต่อมน้ำเหลือง ...ที่พระพุทธศาสนา เรียกว่า "น้ำดีชนิดไม่เป็นฝัก"...(น้ำดีที่เป็นฝัก คือ "ถุงน้ำดี" อยู่ส่วนล่างของตับ) ซึ่งเป็นกองจ่ายเสบียงฉุกเฉิน แก่เม็ดเลือด...ที่ไปสร้างพลังงาน ทั้งปกป้องและ การผลิตเซลล์ทดแทนเซลล์ในระบบอายตนประสาทที่เสื่อมและสึกหรอตลอดระยะเวลาการทำงานอย่างต่อเนื่อง
เป็นการสังเคราะห์กาย ที่จิต ต้องอาศัย ...
ธุลีธาตุพื้นฐานของแสงสว่างแห่งดวงดาว ...
นั่นคือ ธาตุคาร์บอน(C) เป็นธาตุพื้นฐานในการสังเคราะห์เซลล์สร้างเนื้อเยื่ออินทรียสารเพื่อประกอบเป็นระบบอายตนประสาทได้อาศัยและมีชีวิตเพื่อการสร้างกรรมต่อๆไป


การสังเคราะห์อินทรียสารเพื่อประกอบเข้าเป็นเนื้อเยื่อของระบบอายตนประสาทนี้...
จิต(มโนธาตุ, มโนวิญญาณธาตุ) ใช้พลังงานไฟฟ้าเคมีชีวภาพจากลมหายใจ ๑ หน่วย เข้าควบคุมบริหารจัดการ พลังงานนิวเคลียร์ชนิดเข้ม ๑๐๐ หน่วย ในธาตุคาร์บอน เพื่อให้
ธาตุคาร์บอน สังเคราะห์ร่วม อณูธาตุแห่งออกซิเจน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน เป็นหลักสร้างเนื้อเยื่อชีวิตขึ้นมา ....
สำนวนในพระไตรปิฎก ภาคนี้ คือ
"วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป"
ครับ
ฯลฯ


ปรากฏการณ์ชีวิต เป็นเรื่องปาฏิหาริย์อยู่แล้วในตัว...
การปฏิเสธคำสอนว่าด้วยปาฏิหารย์แห่งชีวิต
เท่าทีพบเจอในการแสดงถ่อยสถุลทั่วไปที่
เหยียบย่ำคำสอนแห่งการค้นพบ..
อันสูงส่งของพระพุทธศาสนา...
ก็แล้วมัน พวกมัน
จะอยู่มีชีวิตเพื่อความถ่อยสถุล
อย่างไร้สาระต่อไป ...
ทำไม ไม่ทราบ ?!!!




Atthanij Pokkasap  นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ
อันนี้คือ กายสังเคราะห์จิต


Atthanij Pokkasap  และวิญญาณ เป็นปัจจัยให้กิดนามรูป
ตอนนี้ เป็น จิตสังเคราะห์กาย ครับ


Panu Wongpanuvut    กลายพันธุ์ด้วย กวฬิงการาหาร 


Atthanij Pokkasap  หากไม่มีความรู้ความเข้าใจ ความสัมพันธ์ระหว่าง กายกับจิต และจิตกับกายตามการค้นพบของพระพุทธศาสนาดั้งเดิม
ความรู้เรื่อง การแพทย์ และการฝึกกรรมฐาน..อและสรรพสาขาของวิชาไสยศาสตร์ โหราศาสตร์. ก็เป็นโมฆะ...ยาวไกล ออกไป


Atthanij Pokkasap  หากินกับวิชาอุปโลกน์ ลวงโลกไปวันๆ


No comments: