Atthanij Pokkasap
Brahma over Devata : Part 2
พระพรหม สูงกว่า เทวดา ตอนที่ ๒
มรรคา
และสถานะแท้จริงของ พรหม นั้นถูกค้นพบและเปิดเผย โดยพระพุทธเจ้า แล้วแสดงต่อ
พราหมณ์ ที่อ้างตัวว่า สืบเผ่าพันธ์มาแต่พรหม แต่ ไม่รู้
ที่มาและความเป็นไปของพรหม
พรหม
เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง(มหาชีวิต) ในทฤษฎีวิวัฒนาการทางจิต ตามการค้นพบของพระพุทธศาสนา
เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประกอบด้วยจิตวิญญาณมีอิสรภาพเหนือประสบการณ์ทางอายตนะสามัญของมนุษย์ปกติ
มี ๒ กลุ่มระดับ
ได้แก่ รูปพรหม และ อรูปพรหม
เป็นปรากฏการณ์สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่กับแสงสว่างในแสงสว่าง
ในสถานะของสิ่งมีชีวิต
เปรียบเทียบกับปฏิบัติการโยคะเพื่อการพิสูจน์ค้นพบ สามารถเปรียบเทียบได้ ดังนี้
รูปพรหม ชั้นที่ ๑
มหาพรหมา
สถานะของสิ่งมีชีวิต เท่ากับ "กายิกาพรหม(Kayikabrahma)"
แปลว่า "ผู้มีหมู่อันประกอบเป็นรูป"
มีสนามพลังงานรองรับทางกายภาพ เทียบเท่ากับสนามรองรับ
ดาราจักร(Galaxy...แสนโกฏิโลกธาตุ)
มีปริศนา พรหมเพศหญิงในการค้นพบของพระพุทธศาสนา
ที่นักการศึกษาไทยละเลยคือ
กลุ่มพรหมเหล่า
มนาปกายิกา ที่แสดงถึงสตรีเพศบรรลุสมาธิสูงกว่าบุรุษเพศได้
ในขณะครองเรือนด้วย
= ฌาน ขั้นที่
๑(ปฐมฌาน)ในสัมมาสมาธิ
(=ผู้ได้ปฐมฌาน ต้องเห็น "กายิกาพรหม" ด้วยตามกฎ
"วิโมกข์ ๘" ที่ ผู้มีรูป ย่อมต้องเห็นรูป)
การเข้าสมาบัติในสมาธิชั้นนี้ เรียกว่า
"เนกขัมมสุข"...แปลว่า สุขอันเกิดจากการหลีกเร้นกาม"
รูปพรหม ชั้นที่ ๒
อาภัสสรพรหม(Abhassarabrahma)
แปลว่า "
ผู้ยังแสงสว่างให้อุบัติขึ้นด้วยเหตุแห่งการเคลื่อนไหว"
เป็นชั้นลี้ภัยของมนุษย์เมื่อดาราจักร หรือระบบสุริยจักรวาลล่มสลาย
ดังคำบอกเล่าของพระพุทธเจ้าใน "อัคคัญญสูตร"
= ฌาน ขั้นที่
๒(ทุติยฌาน)ในสัมมาสมาธิ
ผู้ได้หรือบรรลุทุติยฌาน ต้องประสบเห็น อาภัสสรพรหมด้วย
การเข้าสมาบัติในสมาธิชั้นนี้ เรียกว่า
"วิเวกสุข"...แปลว่า สุขอันเกิดจากความสงัด
รูปพรหม ชั้นที่ ๓
สุภกิณหพรหม(Subhakinahabrahm)
แปลว่า "ผู้ส่องสว่างรุ่งเรืองด้วยความงดงาม"
= ฌาน ขั้นที่ ๓ (ตติยฌาน)ในสัมมาสมาธิ
ผู้ได้และบรรลุสมาธิชั้นตติยฌาน ต้องประสบเห็น สุภกิณหพรหม นี้ด้วย
การเข้าสมาบัติในสมาธิชั้นนี้ เรียกว่า
"สมาธิสุข"
รูปพรหม ชั้นที่ ๔
เวหัปผลพรหม(Vehapphalabrahma)
แปลว่า "ผู้มีผลส่องสว่างรุ่งเรืองตลอดฟ้า"
คล้ายเป็นพวก...กลุ่มกาแล็กซีขนาดใหญ่..
= ฌาน ขั้นที่ ๔(จตุตถฌาน) ในสัมมาสมาธิ
ผู้ได้และบรรลุจตุตถฌานนี้ ต้องประสบเห็น เวหัปผลพรหม นี้ด้วย
เช่นกัน
ในอานาปานสติสูตร...
ปรากฏการณ์ทางกายภาพของผู้บรรลุและประสบเวหัปผลพรหม
ก็คือ ขั้นที่ ๔
ของการหายใจที่สูตรกล่าวว่า "กายสังขารสงบรำงับ"...หายใจผ่าน
กระบวนการเมตาโบลิสม์ภายในเซลล์เองได้เองแล้ว
การเข้าสมาบัติในสมาธิชั้นนี้ เรียกว่า
"สัมโพธิสุข"...แปลว่า สุขอันเกิดแต่การรู้แจ้ง
ในสมาธิแต่ละชั้นดังกล่าว..
เป็น "สุขขณะปัจจุบัน" ที่พระพุทธศาสนาพูดถึง
ผู้เข้าสมาบัติได้ในแต่ละชั้น ชื่อว่า
"ทักขิไณยบุคคล"
เพราะ อานุภาพสมาบัติ
สามารถบันดาลอานิสงส์บุญทานทั้งหลายของผู้มาทำถวายในขณะออกจากสมาบัติให้ได้ผลตามอธิษฐานสมปรารถนา
เมื่อลับตา หรือคล้อยหลัง...ไปแล้วในพริบตานั่นเอง
เมื่อขยายดวงจิตแห่งพรหม
จากขนาดใหญ่โดยธรรมชาติ คือ" มหัคคตารัมมณา ธัมมา"
เป็น "อัปปมาณารัมมณา ธัมมา"...ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ
ก็จึงเป็นที่มาของ
"วิหารแห่งพรหม"..อันเป็นที่ตั้งแห่งความเป็น "ผู้ใหญ่"
ที่ นักปราชญ์กำมะลอของไทย
นำมาใช้แอบอ้างสร้างระบบอุปถัมภ์เอาเปรียบสังคมขึ้น
ชื่อเต็มๆของ มหาพรหม
ผู้ประกอบด้วยดวงจิตไร้ขอบเขต หาประมาณมิได้นี้คือ
ฌานขั้นที่ ๑.
เมตตาเจโตวิมุตติ
แปลว่า
จิตอันหลุดพ้นไปจากข้อมูลของระบบอายตนประสาทอย่างสิ้นเชิงแล้วเปี่ยมเต็มไปด้วยความสงสารอ่อนโยนต่อสรรพสัตว์
ฌานขั้นที่ ๒.
กรุณาเจโตวิมุตติ
แปลว่า จิตอันหลุดพ้นไปจากข้อมูลของระบบอายตนประสาทอย่างสิ้นเชิง
แล้วประกอบไปด้วยความตั้งใจช่วยเหลืออย่างอ่อนโยน ต่อสรรพสัตว์
พระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่เป็นสัญลักษณ์อารมณ์ของพระพุทธเจ้า
อุบัติไปจาก ฌานของพระพุทธเจ้าชั้นนี้เอง โดยเฉพาะ...พระอวโลกิเตศวร หรือ
เจ้าแม่...กวนอิม !!!
ฌาน ขั้นที่ ๓. มุทิตาเจโตวิมุตติ
ฌาน ขั้นที่ ๔.
อุเปกขาเจโตวิมุตติ
เจโตวิมุตติ...จิตใหญ่ที่เป็นอิสรภาพเหนือระบบอายตนประสาทปกติ...
ถูกปราชญ์ผู้คิดคด ทรยศคำสอนตรงของพระพุทธเจ้า...
มันตัดออกจนคนรุ่นหลังก็เชื่อตามๆกันมาว่า...
พรหม คือผู้ใหญ่ ประกอบด้วย
เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา พอ
ไม่ต้องมีศัพท์เทคนิคต่อท้าย
ก็เพื่อมัน
พวกมันจะได้เอามาสร้างระบบอุปถัมภ์อันเลวทราม เอารัด เอาเปรียบสังคมกลุ่มอื่นๆ
จน..ร่มพระบรมโพธิสมภาร วินาศ ฉิบหายวายวอด ในวันนี้ นั่นเอง.
!!!!!
Jaruvat Chanposri ชัดเจนครับอาจารย์
Prirot Meepa แสดงธรรมมีปาฏิหารย์ .ครับ
Atthanij Pokkasap ใช่ครับ "คุณธรรม" ที่ภาษาไทยมันเอาไปใช้ ต่ำเละเทะครับ
"คุณธรรม"ในพระพุทธศาสนาท่านหมายถึง การฝึกจิตมาถึงขั้น
"เสพสุขอันเป็นปัจจุบัน"
คือ...สุขในฌานสมาบัติและอภินิหารจากสมาบัตินี้ต่างหาก ที่พระบาลีเรียกว่า
"คุณธรรม"...ครับ
Sura Roy ท่านกล่าวว่าควรยินดีและชื่นชม...แต่ปัจจุบันมีคนบอกว่าอวดอุตริ....ผิดถึงขั้นปาราชิก.
Atthanij Pokkasap คนแบบนั้นต้องกำจัดทิ้งด้วยอำนาจ " ฌานวิสัย"
เด็ดขาดครับ...เพื่อพิทักษ์ความจริงแห่งธรรม....คุรุที่ไปถ่ายทอดเผยแผ่ธรรมที่ธิเบต..เรียกอำนาจพิทักษ์ความจริงแห่งธรรมนี้ว่า
"ยิดัม" ครับ
Atthanij Pokkasap ตอนนี้ ลองกลับไปอ่าน..ปฐมสมโพธิ ตอน มารพันธปริวัตต์...จะเข้าใจดีขึ้น..พวกนี้เอง
คือ "มาร" ที่มาปิดบังธรรม แล้วก็มี มาร ที่บิดเบือนธรรม
พวกที่กล่าวร้ายธรรมนั้น ท่านเรียก พวกเดียรถีย์ ครับ !!!
Atthanij Pokkasap "ผู้ไม่เหินห่างฌาน ได้ชื่อว่า ผู้ปฏิบัติตามคำสอนเราตถาคต"....ยังหา..บทต้นกำเนิดที่มา
ไม่เจอ ครับ.. เด๋วคงได้เปิดเผย ตีแผ่... พวกมารปิดบัง.. พวกมารบิดเบือน
และพวก..เดียรถีย์ ที่กล่าวให้ร้ายคำสอน กัน ครับ
Chanasorn
Suadprakorn เอาด้วย ๆ ว่าง ๆ อ่านพระไตรปิฏก จากเว็บ 8400 ดีกว่า