Breaking Dharma PART 88...!!!
....
08:15 น.แรม ๑๒ ค่ำ
เดือน ๔
วันเสาร์ที่ ๒๖
เมษายน พ.ศ.๒๕๕๗
คนละเรื่อง...
ระหว่างปรากฏการณ์ของผู้ได้สมาธิกับนักเล่นกล
โดยเฉพาะ..สมาธิ
ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา
มาทำความรู้
ความเข้าใจกันไว้ ครับ ;
ข้อที่ ๑.วรรคที่ ๗
(สัปปาณกวัคโค สัตตโม) แห่งอาบัติปาจิตตีย์
จาก ๑๕๐
ข้อบทบัญญัติพระวินัย (ปาติโมกข์) ของภิกษุ กล่าวไว้ว่า..
โย ปน ภิกฺขุ สญจิจฺจ
ปาณํ ชีวิตา โวโรเปยฺย,ปาจิตฺติยํ
.."ภิกษุ
พรากชีวิตสัตว์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์"
ต้นคดีบทบัญญัตินี้ คือท่านพระอุทายีเลอะเทอะ (โลฬุทายี)
ที่ต่อมาพัฒนาตนสำเร็จเป็น
"ท่านพระอุทายีใหญ่ (มหาอุทายี)"
(ไม่ขอบอกพระสูตรที่พระศาสดาตรัสยืนยันการบรรลุของท่านอุทายี
อยากรู้เหมือนกันว่า
พระมีความรับผิดชอบต่อการศึกษาค้นคว้าแค่ไหน!!!)
คดี มีอยู่ว่า...
ต้นไม้ใหญ่ข้างกุฏิของท่านพระอุทายี...ในพรรษาหนึ่ง...
ได้มีฝูงนกนานาพันธุ์บินเข้ามาทำรังอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น
ได้สร้างเสียงและถ่ายมูลนำความเดือดร้อนรำคาญ
แก่ท่านพระอุทายีเป็นอย่างมาก
ท่านพระอุทายี
จึงประดิษฐ์ธนูน้อยๆ (บันทึกในพระไตรปิฎก
ท่านบรรยายไว้ได้อย่างน่ารักมาก) กับลูกธนูไว้เป็นจำนวนมาก
ยิงนกลงมาอย่างมากมาย
จัดการตัดหัวนกแล้ว
ใช้ไม้แบบเดียวกับที่ใช้ทำลูกธนูเสียบหัวนก
นำมาปักเรียงรายเป็นแนวรั้วกั้นล้อมกุฏิอันสวยงามโอ่โถงของตน..
ความทราบไปถึงพระบรมศาสดา
จึงตรัสเรียกประชุมและประกาศ
พระวินัยบท.."ภิกษุ
พรากชีวิตสัตว์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์" ขึ้น
(อาบัติปาจิตตีย์ คือ
ความผิดที่ต้องแสดงออกมาด้วยการยอมรับผิด
ทางวาจา
และปฏิญญาว่าจะไม่ทำต่อไปอีก โดยแสดงต่อหน้าภิกษุ
ผู้คุ้นเคยและบริสุทธิ์ไม่กระทำผิดในแบบเดียวกัน)
เหตุเกิดที่พระวิหารเชตวัน
พระนครสาวัตถี โดยท่านพระอุทายีแสดงตน
เป็นพระกร่างมาก
มีงานหลักคือเบรคการแสดงธรรมของพระอสีติสาวก
(มหาสาวก ๘๐ องค์)
เวลาแสดงธรรมโปรดญาติโยมต่อเบื้องพระพักตร์
พระบรมศาสดา...
(เช่นที่ทำให้รู้ว่า
พระนิพพานมี ๔ ระดับขั้นก็เกิดจากการเบรคการแสดงธรรม
ของท่านพระสารีบุตร..เบรคว่า..อะแน่
อาวุโสสารีบุตร นิพพานไม่มีเวทนา
แล้วท่านมาบอกว่า
นิพพานเป็นสุขได้ยังไง...อย่าแสดงธรรมต่อไปเลย
ท่านพุดคำไม่จริงนี่หน่า...ฯลฯ)
การปรากฏของฝูงนกใหญ่น้อยนานาพันธุ์มาอาศัยที่ต้นไม้ใหญ่
ข้างกุฏิของท่านพระอุทายี...แสดงถึงพัฒนาการของท่านพระอุทายี!!!
ท่านพระอุทายี..ได้สมาธิ
เพื่อขับเคลื่อนภูมิธรรมแห่งตนไปตามวิถีอริยมรรค
แล้ว ครับ!!!
(สมาธิ
เป็นพลวัตขับเคลื่อนจากดวงตาเห็นธรรม ไปสู่การบรรลุ
สัมโพธิญาณตามขั้นตอน
จะเริ่มปรากฏมีตั้งแต่ โสดาบันขั้น..
โกลังโกละ
และเอกพีชี..ปรากฏการณ์นี้พัฒนา
ไปตามการบ่มเพาะของ
ศรัทธาและศีล คนละส่วนชนิดกันกับสมาธิ
ที่ฝึกอบรมมาจากศิลปศาสตร์)
สิ่งมีชีวิตที่สัมผัสรู้ก่อนใครเพื่อน...ไม่ใช่มนุษย์ปุถุชนทั่วไป..
หากแต่เป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ทั้งหลายในระบบนิเวศน์ใกล้เคียง
ทีอยู่อาศัยของผู้ได้สมาธิสายพุทธนั้นเอง...
วัดป่าที่ไม้ป่ายืนต้นร่มรื่นมากมาย..
แต่ไร้นกกา กระรอกกระแตเข้ามาอาศัย...
พระ..วัดป่านั้นไม่รู้เรื่องการทำให้ได้มาซึ่งสมาธิครับ
ธรรมชาติในระบบนิเวศน์จะเป็นผู้ยืนยันปรากฏการณ์ได้สมาธิเอง...
เพราะสัตว์..สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศน์..จะจับคลื่นสัญญาณแห่ง
ความมีเมตตา
เอื้อเฟื้อ อบอุ่นได้ หรือเป็นกลางๆไม่มีภัย
จะวางใจและเข้ามาแสดงความคุ้นเคยใกล้ชิดสนิทสนมด้วย
ขออนุญาตเปิดโปง...ดังนี้.
การท่องกรวดน้ำแผ่เมตตาแล้วความเป็นป่าก็ยังแห้งแล้ง
ไม่มีสัตว์ในระบบนิเวศน์วางใจ...
ไม่ต้องโกหกหลอกลวงกระทั่งตนเองต่อไป..ละครับ....
นักเล่นกลจะได้ไม่มาสวมรอยอวดปาฏิหาริย์ในแบบคล้ายๆกัน
ให้สัตว์ในระบบนิเวศน์..เป็นผู้ตัดสิน....ดีที่สุด
"นายขยะ"
Atthanij
Pokkasap
...พระไม่ศึกษาธรรมตามหน้าที่...ไม่มีทางเลยที่จะรู้เรื่องของสมาธิ...พระพุทธศาสนาไร้ผู้พิสูจน์พบเรื่องสมาธิมาหลายชั่วอายุคนแล้ว...รับความจริงกันเสียบ้างอย่าให้พวกนักเล่นกลมันมาหากินดูถูกเอาอยู่เลย...
...ในประวัติศาสตร์จริงเห็นแต่..สมเด็จพระพนรัตน์...ที่ท่านมีสมญานามว่า
"สังฆราชไก่เถื่อน" งัยครับ...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
No comments:
Post a Comment