Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Monday, January 16, 2017

89.Breaking Dharma PART 88





Breaking Dharma PART 88...!!!
....


08:15 น.แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๔
วันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๗


คนละเรื่อง...
ระหว่างปรากฏการณ์ของผู้ได้สมาธิกับนักเล่นกล
โดยเฉพาะ..สมาธิ ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา
มาทำความรู้ ความเข้าใจกันไว้ ครับ ;

ข้อที่ ๑.วรรคที่ ๗ (สัปปาณกวัคโค สัตตโม) แห่งอาบัติปาจิตตีย์
จาก ๑๕๐ ข้อบทบัญญัติพระวินัย (ปาติโมกข์) ของภิกษุ กล่าวไว้ว่า..
โย ปน ภิกฺขุ สญจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปยฺย,ปาจิตฺติยํ
.."ภิกษุ พรากชีวิตสัตว์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์"



ต้นคดีบทบัญญัตินี้ คือท่านพระอุทายีเลอะเทอะ (โลฬุทายี)
ที่ต่อมาพัฒนาตนสำเร็จเป็น "ท่านพระอุทายีใหญ่ (มหาอุทายี)"

(ไม่ขอบอกพระสูตรที่พระศาสดาตรัสยืนยันการบรรลุของท่านอุทายี
อยากรู้เหมือนกันว่า พระมีความรับผิดชอบต่อการศึกษาค้นคว้าแค่ไหน!!!)


คดี มีอยู่ว่า...

ต้นไม้ใหญ่ข้างกุฏิของท่านพระอุทายี...ในพรรษาหนึ่ง...
ได้มีฝูงนกนานาพันธุ์บินเข้ามาทำรังอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น
ได้สร้างเสียงและถ่ายมูลนำความเดือดร้อนรำคาญ
แก่ท่านพระอุทายีเป็นอย่างมาก

ท่านพระอุทายี จึงประดิษฐ์ธนูน้อยๆ (บันทึกในพระไตรปิฎก
ท่านบรรยายไว้ได้อย่างน่ารักมาก) กับลูกธนูไว้เป็นจำนวนมาก
ยิงนกลงมาอย่างมากมาย
จัดการตัดหัวนกแล้ว ใช้ไม้แบบเดียวกับที่ใช้ทำลูกธนูเสียบหัวนก
นำมาปักเรียงรายเป็นแนวรั้วกั้นล้อมกุฏิอันสวยงามโอ่โถงของตน..

ความทราบไปถึงพระบรมศาสดา จึงตรัสเรียกประชุมและประกาศ
พระวินัยบท.."ภิกษุ พรากชีวิตสัตว์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์" ขึ้น

(อาบัติปาจิตตีย์ คือ ความผิดที่ต้องแสดงออกมาด้วยการยอมรับผิด
ทางวาจา และปฏิญญาว่าจะไม่ทำต่อไปอีก โดยแสดงต่อหน้าภิกษุ
ผู้คุ้นเคยและบริสุทธิ์ไม่กระทำผิดในแบบเดียวกัน)


เหตุเกิดที่พระวิหารเชตวัน พระนครสาวัตถี โดยท่านพระอุทายีแสดงตน
เป็นพระกร่างมาก มีงานหลักคือเบรคการแสดงธรรมของพระอสีติสาวก
(มหาสาวก ๘๐ องค์) เวลาแสดงธรรมโปรดญาติโยมต่อเบื้องพระพักตร์
พระบรมศาสดา...

(เช่นที่ทำให้รู้ว่า พระนิพพานมี ๔ ระดับขั้นก็เกิดจากการเบรคการแสดงธรรม
ของท่านพระสารีบุตร..เบรคว่า..อะแน่ อาวุโสสารีบุตร นิพพานไม่มีเวทนา
แล้วท่านมาบอกว่า นิพพานเป็นสุขได้ยังไง...อย่าแสดงธรรมต่อไปเลย
ท่านพุดคำไม่จริงนี่หน่า...ฯลฯ)


การปรากฏของฝูงนกใหญ่น้อยนานาพันธุ์มาอาศัยที่ต้นไม้ใหญ่
ข้างกุฏิของท่านพระอุทายี...แสดงถึงพัฒนาการของท่านพระอุทายี!!!
ท่านพระอุทายี..ได้สมาธิ
เพื่อขับเคลื่อนภูมิธรรมแห่งตนไปตามวิถีอริยมรรค แล้ว ครับ!!!

(สมาธิ เป็นพลวัตขับเคลื่อนจากดวงตาเห็นธรรม ไปสู่การบรรลุ
สัมโพธิญาณตามขั้นตอน จะเริ่มปรากฏมีตั้งแต่ โสดาบันขั้น..
โกลังโกละ และเอกพีชี..ปรากฏการณ์นี้พัฒนา
ไปตามการบ่มเพาะของ ศรัทธาและศีล คนละส่วนชนิดกันกับสมาธิ
ที่ฝึกอบรมมาจากศิลปศาสตร์)



สิ่งมีชีวิตที่สัมผัสรู้ก่อนใครเพื่อน...ไม่ใช่มนุษย์ปุถุชนทั่วไป..
หากแต่เป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ทั้งหลายในระบบนิเวศน์ใกล้เคียง
ทีอยู่อาศัยของผู้ได้สมาธิสายพุทธนั้นเอง...

วัดป่าที่ไม้ป่ายืนต้นร่มรื่นมากมาย..
แต่ไร้นกกา กระรอกกระแตเข้ามาอาศัย...
พระ..วัดป่านั้นไม่รู้เรื่องการทำให้ได้มาซึ่งสมาธิครับ
ธรรมชาติในระบบนิเวศน์จะเป็นผู้ยืนยันปรากฏการณ์ได้สมาธิเอง...
เพราะสัตว์..สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศน์..จะจับคลื่นสัญญาณแห่ง
ความมีเมตตา เอื้อเฟื้อ อบอุ่นได้ หรือเป็นกลางๆไม่มีภัย
จะวางใจและเข้ามาแสดงความคุ้นเคยใกล้ชิดสนิทสนมด้วย

ขออนุญาตเปิดโปง...ดังนี้.
การท่องกรวดน้ำแผ่เมตตาแล้วความเป็นป่าก็ยังแห้งแล้ง
ไม่มีสัตว์ในระบบนิเวศน์วางใจ...
ไม่ต้องโกหกหลอกลวงกระทั่งตนเองต่อไป..ละครับ....
นักเล่นกลจะได้ไม่มาสวมรอยอวดปาฏิหาริย์ในแบบคล้ายๆกัน
ให้สัตว์ในระบบนิเวศน์..เป็นผู้ตัดสิน....ดีที่สุด


"นายขยะ"
Atthanij Pokkasap





...พระไม่ศึกษาธรรมตามหน้าที่...ไม่มีทางเลยที่จะรู้เรื่องของสมาธิ...พระพุทธศาสนาไร้ผู้พิสูจน์พบเรื่องสมาธิมาหลายชั่วอายุคนแล้ว...รับความจริงกันเสียบ้างอย่าให้พวกนักเล่นกลมันมาหากินดูถูกเอาอยู่เลย...

...ในประวัติศาสตร์จริงเห็นแต่..สมเด็จพระพนรัตน์...ที่ท่านมีสมญานามว่า "สังฆราชไก่เถื่อน" งัยครับ...






                                                                                                      ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
             
  


* Story & Photos by  Atthanij Pokkasap

No comments: