Breaking Dharma PART 45...!!!
....
มารู้จัก
กันเถอะ...กับ...
ปฏิบัติการ
โยคะตาทิพย์ ที่สาบสูญจากการถ่ายทอด
และ เป็นภพภูมิสวรรค์
ที่ไม่ปรากฏใน โครงสร้างไตรภูมิ!!!...
เกริ่นนำ ;
ธรรมอันเป็นพระพุทธวจนะหมวดนี้
เป็นภาคปฏิบัติการโยคะ
แสดงแก่ ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระภัททิยะ
และท่านพระกิมพิละ ณ
ปาจีนวังสะ ขณะที่พระศาสดากำลังเดินทางหลีกเร้นเสด็จไปจำพรรษาอยู่ป่าลึกแต่พระองค์เดียวโดยมีช้างปาริไลยกะ
และวานรใหญ่อีกตัวหนึ่ง เป็นโยมอุปัฏฐาก
ข้อเสนอแนะ;
อ่านดูก่อน..ไม่ต้องทำความเข้าใจใดๆทั้งสิ้น (เพราะอย่างไร
ก็ไม่มีวันเข้าใจ)
เป็นปฏิบัติการโยคะชั้นสูงสุด ที่ไม่มีผู้รู้ใดๆในโลก ขยายความออกมาได้...ถ้าไม่ใช่ทายาทสายตรง..ครับ!!!
(๑๖๒) ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย
เหตุเป็นเครื่องครอบงำ
๘ ประการ นี้ ๘ ประการเป็นไฉน?
คนหนึ่งมีรูปสัญญา
ในภายใน เห็นรูปในภายนอกเล็กน้อย
ทั้งมีผิวพรรณดี
ทั้งมีผิวพรรณทราม
ย่อมมีความสำคัญ
อย่างนี้ว่า
เราครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว
จึงรู้จึงเห็น
นี้ เป็นเหตุ
เครื่องครอบงำ ประการที่ ๑
คนหนึ่ง
มีรูปสัญญาในภายใน เห็นรูปในภายนอกได้ ไม่มีประมาณ
ทั้งมีผิวพรรณดี
ทั้งมีผิวพรรณทราม
ย่อมมีความสำคัญอย่างนี้ว่า
เราครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว
จึงรู้จึงเห็น
นี้ เป็นเหตุ
เครื่องครอบงำ ประการที่ ๒
คนหนึ่ง
มีอรูปสัญญาในภายใน เห็นรูปในภายนอกได้เล็กน้อย
ทั้งมีผิวพรรณดี
ทั้งมีผิวพรรณทราม
ย่อมมีความสำคัญอย่างนี้ว่า
เราครอบงำ
รูปเหล่านั้นแล้ว จึงรู้ จึงเห็น
นี้ เป็นเหตุ
เครื่องครอบงำ ประการที่ ๓
คนหนึ่งมี
อรูปสัญญาในภายในเห็นรูปในภายนอกได้ ไม่มีประมาณ
ทั้งมีผิวพรรณดี
ทั้งมีผิวพรรณทราม
ย่อมมีความสำคัญอย่างนี้ว่า
เรา
ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว จึงรู้จึงเห็น
นี้ เป็นเหตุ
เครื่องครอบงำ ประการที่ ๔
คนหนึ่งมี อรูปสัญญา
ในภายใน เห็นรูปในภายนอกเขียว
มีสีเขียว รัศมีเขียว
แสงสว่างเขียว
ย่อมมีความสำคัญ
อย่างนี้ว่า
เรา ครอบงำ
รูปเหล่านั้นแล้ว จึงรู้ จึงเห็น
นี้ เป็นเหตุ
เครื่องครอบงำ ประการที่ ๕
คนหนึ่งมี
อรูปสัญญาในภายใน เห็นรูปในภายนอกเหลือง
มีสีเหลือง
รัศมีเหลือง แสงสว่างเหลือง
ย่อมมีความสำคัญ
อย่างนี้ว่า
เราครอบงำ
รูปเหล่านั้นแล้ว จึงรู้ จึงเห็น
นี้ เป็นเหตุ
เครื่องครอบงำ ประการที่ ๖
คนหนึ่งมี
อรูปสัญญาในภายใน เห็นรูปใน ภายนอกแดง
มีสีแดง รัศมีแดง
แสงสว่างแดง
ย่อมมีความสำคัญ
อย่างนี้ว่า
เราครอบงำ
รูปเหล่านั้นแล้ว จึงรู้ จึงเห็น
นี้ เป็นเหต
เครื่องครอบงำ ประการที่ ๗
คนหนึ่งมี
อรูปสัญญาในภายใน เห็นรูปในภายนอกขาว
มีสีขาว รัศมีขาว
แสงสว่างขาว
ย่อมมีความสำคัญ
อย่างนี้ว่า
เราครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว
จึงรู้ จึงเห็น
นี้ เป็นเหตุ
เครื่องครอบงำ ประการที่ ๘
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เหตุเป็นเครื่องครอบงำ ๘ ประการนี้แแล ฯ
จาก อภิภายตนสูตร
ว่าด้วย อภิภายตนะ ๘ อัฏฐกนิบาต อังคุตตรนิกาย ไตรปิฎก สยามรัฐ
เล่ม ๒๓/๔๕
แล้วมี พระพุทธวจนะ
สรุป การหลุดพ้นในปฏิบัติการ เป็นการปิดท้ายอีก ดังนี้...
(๑๖๓) ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย
วิโมกข์ ๘ ประการนี้
๘ ประการเป็นไฉน ?
คือ...
บุคคลผู้มีรูป
ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย
นี้เป็นวิโมกข์
ประการที่ ๑
คนหนึ่งมี
อรูปสัญญาในภายใน ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก
นี้ เป็นวิโมกข์
ประการที่ ๒
คนหนึ่ง (...การคัดลอกตกหล่น?) น้อมใจว่างาม
นี้เป็นวิโมกข์
ประการที่ ๓
เพราะล่วงรูปสัญญา
โดยประการทั้งปวง
เพราะดับปฏิฆสัญญา
เพราะไม่ใส่ใจถึง
นานัตตสัญญา บรรลุอากาสานัญจายตนะ
โดยมนสิการว่า
อากาสไม่มีที่สุด
นี้ เป็นวิโมกข์
ประการที่ ๔
เพราะก้าวล่วง
อากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง
บรรลุวิญญาณัจายตนะ
โดยมนสิการว่า วิญญาณ
ไม่มีที่สุด
นี้ เป็นวิโมกข์
ประการที่ ๕
เพราะก้าวล่วง
วิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง
บรรลุอากิญจายตนะ
โดยมนสิการว่า
ไม่มีอะไร แม้หน่อยหนึ่ง
นี้ เป็นวิโมกข์
ประการที่ ๖
เพราะก้าวล่วง
อากิญจัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง
บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ
นี้ เป็นวิโมกข์
ประการที่ ๗
เพราะก้าวล่วง
เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง
บรรลุ
สัญญาเวทยิตนิโรธ
นี้เป็นวิโมกข์
ประการที่ ๘
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
วิโมกข์ ๘ ประการนี้แล ฯ
จาก วิโมกข์สูตร
ว่าด้วยวิโมกข์ ๘ อัฏฐกนิบาต อังคุตตรนิกาย ไตรปิฎก สยามรัฐ เล่ม ๒๓/๔๕
อายตนะอันยิ่ง
หรืออภิภายตนะ ๘ (Paranormal Senses ) และวิโมกข์
๘
นี้
เป็นเทคนิคของการพิสูจน์-สัมผัสเห็น (ญาณทัสสนะ)
พรหม มหาพรหม
เพศหญิงล้วนๆที่ท่านเรียกว่า หมู่ มหาพรหมนารี "มนาปกายิกา"
ที่เป็นเลิศในอิสระ
และอำนาจกว่าเทพนิกายใน ฉกามาพจรภูมิทั้งหลาย ๓ ประการ คือ
ทิพยวรรณะ (ผิวพรรณอาภรณ์ประดับ)
ทิพยสัททะ (เสียง) และทิพยสุขะ (ความสุขอันประณีต ในชั้นพรหม) ..ครับ.
พรหมนารี
"มนาปกายิกา" มีเหตุปัจจัยให้อุบัติ ดังนี้ครับ..
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
มาตุคามประกอบด้วย ธรรม ๔ ประการ ชื่อว่า ปฏิบัติเพื่อชัยชนะในโลกหน้า
ชื่อว่า
ปรารภโลกหน้าแล้ว ธรรม ๔ ประการ เป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
มาตุคามในโลกนี้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา
๑ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ๑
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วย
จาคะ ๑ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วย ปัญญา ๑
มาตุคามประกอบด้วยธรรม
๔ ประการนี้แล ชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อชัยชนะในโลกหน้า
ชื่อว่า ปรารภโลกหน้าแล้ว
มาตุคาม ผู้จัดการ
งานดี ๑
สงเคราะห์คนข้างเคียงสามีดี
๑
ประพฤติเป็นที่พอใจของสามี
๑
รักษาทรัพย์ที่สามีหาได้
๑
ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ๑
ถึงพร้อมด้วย ศีล ๑
ปราศจากความตระหนี่ ๑
รู้เป้าหมายแห่งการประสงค์ชำระทางสัมปรายิกประโยชน์อยู่เป็นนิตย์ ๑
(ตั้งอยู่ในธรรม และพูดคำสัตย์
๒ คูณเข้าไปอีก)
เป็น
ถึงพร้อมด้วยอาการ ๑๖ ประกอบด้วยองค์คุณ ๘ ประการ
มาตุคาม เช่นนี้
ย่อมเข้าถึง เทวโลกประเภท มนาปกายิกา แลฯ
จาก อิธโลกสูตร
ว่าด้วยคุณธรรมของมาตุคามผู้จะมีชัยชนะ อัฏฐกนิบาต
อังคุตตรนิกาย
ไตรปิฎก สยามรัฐ เล่ม
๒๓/๔๕ เดียวกัน
...ทิพยกายสูงสุด แห่งเพศหญิง ครับ.
ในบันทึกทั้งหมดที่ปรากฏในพระไตรปิฎก..เป็นประสบการณ์ของท่านพระอนุรุทธะผู้เป็นเอตทัคคะทางทิพยจักษุ
พระองค์เดียวเท่านั้น...และท่านมักได้รับ..ผ้าบังสุกุลจากพรหมนารีเหล่านี้
ประจำ....
...ความหมายผู้มีรูป ย่อมเห็นรูป
หมายถึงการบรรลุสมาธิ (รูปพรหม) ชั้นสัมมาสมาธิ
ย่อมต้องเห็นรูปพรหม..
มหาชีวิตชั้นพรหม ๔
ระดับทั่วไปคือ กายิกาพรหม, อาภัสสรพรหม, ศุภกิณหพรหม และ เวหัปผลพรหม
พรหมนารีนี้ท่องเที่ยวอยู่ระหว่าง
กายิกาพรหม ถึง อรูปพรหมเลยทีเดียว
ที่ต้องจดจำให้ขึ้นใจ
คือ สวรรค์ชั้นพรหมนั้น มีเฉพาะกังสดาลสวรรค์เท่านั้น เป็นเสียงทิพยดนตรี....
...ความอดกลั้นเพื่อปฏิบัติธรรมตามหน้าที่เพศหญิงอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
ทำให้ หญิง..บรรลุสมาธิชั้นสูง... ด้วยอำนาจสมาธิจึงมีจุติอุบัติเหนือกว่า
เทวนารีในชั้นฉกามาพจรภูมิ...ทั้งหมด ครับ.
(สมาธิชั้นสูงเท่านั้นที่ทำให้จุติอุบัติเป็นพรหม..ไม่มีสมาธิชั้นสูง...ก็จะได้แต่เสวยผลบุญผลทาน เป็นเทวดาเวียนว่ายอยู่ใน
ฉกามาพรภูมิ ครับ)
...อภิภายตนะ ๘ และ วิโมกข์
๘...พระปริยัติ ไม่รู้เรื่องครับ
เพราะแม้แต่พระกรรมฐานเอง
ก็ยังไม่รู้เรื่องเลย...เพราะมุ่งปฏิบัติจะไปแต่นิพพานแบบลัดๆลวกๆ
ไม่ได้รู้เลยว่า รายทางแห่งสมาธิตามเป็นจริงนั้นจะต้องรู้อะไรบ้างเห็นอะไรบ้าง...
จิตที่ไม่อบรมอย่างประณีตละเอียด...เลยมุ่งจะไปแต่นิพพานตามอุปาทาน..ก็เลยเป็นเรื่องอย่างที่กำลังเป็นกันอยู่ทั่วไปในทุกวันนี้น่ะเอง.
...บันทึกเวลา 00:00 ถึง 02:50 น.
ของคืนวันจันทร์ ๒๓ คาบเช้าตรู่ วันอังคาร ๒๔ กย.
ครับ
...จากบันทึก ธรรม ส่วนนี้...
สรุปได้ว่า..นิพพานที่กล่าวถึงกันทั่วไปในสังคมชาวพุทธยุคปัจจุบัน....
เป็นแค่ อุปาทาน
ที่หยาบ และกระด้างมาก....อุปาทาน ครับ อุปาทาน ทั้งนั้น เป็น อุปาทาน ๔ เต็มๆ
คือ..
กามุปาทาน
(ยึดติดในกาม ถูกครอบงำด้วยอายตนะสัมผัสปกติ)
ทิฏฐุปาทาน (ยึดติดในทฤษฎีที่คิดเอาเองว่า
ตนรู้..เทียบไม่ตรงกะพระไตรปิฎกก็จะว่า
พระไตรปิฎกคลาดเคลื่อน)
สีลัพพตุปาทาน (ยึดมั่นว่าศีล
และวัตรของตนเองเท่านั้นถูกต้อง ถ้าไม่ตรงกะพระไตรปิฎก
ก็กล่าวโทษอีกว่าพระไตรปิฎกคลาดเคลื่อน)
อัตตวาทุปาทาน (คำสอนแบบพรรคจานบินและแทบทุกสำนักปฏิบัติธรรมที่มีอยู่เกลื่อนเลย
อันนี้เต็มๆมีเหตุผลตรรกะแบบเดียวกันกับ
ทิฏฐุปาทาน และ สีลัพพตุปาทาน...คัมภีร์ยึดถือไม่ได้...ผิดๆๆๆๆๆๆ ต้องที่กูยึดถือเท่านั้นถูก...ครับ)
...แล้วมันทั้งหมดก็จะเรียก ผมว่า ไอ้ตัวยึดติดในคัมภีร์.....ครับ!!!
...ปฏิบัติศีลแล้ว..ไม่เกิดความฮึกเหิมในการอยากฝึกสมาธิ..ศีลนั้น ใช้ไม่ได้..ครับ
พิจารณาดู
พระพุทธวจนะ...
(๑๐๙๓) ภิกษุทั้งหลาย
การงานที่พึงทำด้วยกำลังอย่างใดอย่างหนึ่ง อันบุคคลทำอยู่
การงานที่จะพึงทำด้วยกำลังทั้งหมดนั้น
อันบุคคลอาศัยแผ่นดิน จึงทำได้อย่างนั้น แม้ฉันใด
ภิกษุอาศัยศีล
ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญสัมมัปธาน ๔ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ....
คืออาศัยศีลแล้ว
ไม่มีธรรมใดเจริญงอกงาม ก็แสดงว่าศีลนั้น...จอมปลอม เท่านั้นเอง...ครับ
...ท่าน จึงไม่บรรจุ
เป็นศัพท์ในพจนานุกรม งัยครับ....เพราะ ท่าน ..ทุกท่าน อ่านไม่รู้เรื่อง...55555 เมื่อไม่มีประสบการณ์ในขณะปฏิบัติ ยังไงก็ไม่รู้เรื่องครับ
นี่คือมาตรวัดว่า ที่สอนกันทั้งหมด...อุปาทาน ทั้งนั้น..
...การเห็นแสงสว่างของ ภวังคจิต(จิตเดิมแท้) ..กลับไปที่คำอธิบาย ของ มิลินทปัญหาครับ
กว่า เรา..โยคี
จะรู้และคุ้นเคยกับแสงสว่างเเห่งจิตเดิมแท้ได้..อาจทั้งชีวิต..แต่พระศาสดาบอกเคล็ดตรงนี้หมดเลย..เมื่อยังเข้าไปเอาจิตเดิมแท้ไม่ได้..ก็คือไม่เห็นแสงสว่าง (โอภาส) พอเห็นแสงก็ต้องมาซูมโฟคัส หารูปในแสงเหมือนเราเลื่อนเลนซ์เพื่อขยายหรือย่อรูป..ครับ
แล้วรูปจะปรากฏ..คือรูปทิพยกาย...ในแต่ละมิติครับ
...ครับ การที่ไม่มีใครมาค้นมาเน้นเรื่องนี้ (มีท่าน อจ.พุทธทาสรูปเดียว)
นั่นคือ มาไม่ถึงครับ...
...ขนาดกำหนดอรูปสัญญา
แท้ๆ...ยังได้เห็น มนาปกายิกา อยู่เลย...แต่ อรูปสัญญาที่ว่ากันทุกวันนี้
อุปาทานกันไปเลยว่า
นิพพาน...เอากันขนาดนั้น...ผมเห็นคำสอนอุตริแต่ละท่านแล้ว ฉีกหน้ากาก
ก็กระจุยทุกสำนัก...ได้แต่ปล่อยให้เลยตามเลว ลงห้วยลงเหวหนักขึ้นๆ...เท่านั้นเอง
...ในบทธรรม เมื่อไล่มาจากข้อที่ ๑
คือ มีรูปสัญญาในภายใน เห็นรูปในภายนอกนิดหน่อย
อันนี้คือเมื่อบรรลุปฐมฌาน (รูปพรหมขั้นที่
๑) ก็ย่อมเห็น มหาพรหม ..สิ่งมีชีวิตชั้นสูงในคลื่นความถี่ชีวิตคลื่นเดียวกันนี้ครับ
ได้แก่...
สหัสสพรหม,..ไปจนถึงสตสหัสสพรหม (ดูในธรรมจักกัปปวตนสูตร, และ
สังขารูปปัตติสูตร)
มหาพรหมา
และกายิการพรหม (กายิกาพรหมผู้หญิงจึงเป็น มนาปกายิกา งัย)...
ฌาน ๒
ก็เห็นหมู่อาภัสสรพรหม งัยครับ...
เข้าฌานแล้วไม่เห็นอะไรเลย..นั่นเป็นอีกเทคนิคหนึ่งในไตรลักษณ์
ที่เรียกอาเนญชาสมาบัติ
เป็นเรื่อง สุญญตสมาธิ..อนิมิตตสมาธิ และอัปณิหิตสมาธิ..
ลึกล้ำหลากหลายสายธรรมปฏิบัติครับ...
...ตอนกำหนดอรูปสัญญาได้..ยังอยู่ในแดน..จตุตถฌาน (ฌาน
๔) ยังไม่พัฒนาไปถึงอรูปฌานเต็มขั้นก็ยังเห็น
มนาปกายิกา ๔
วรรณะอยู่...คือเรื่องนี้ครับ...คงพอเข้าใจและรู้เรื่องบ้างแล้ว
ใช่มั้ย...
...ก๊ออ...ผมอยู่กะการจูนโฟคัสเพื่อให้เห็นภาพ.
(จิต คือกระจก..อาทาโส) จูนแสงเพื่อรับภาพ
เป็น ๑๐ ปี แล้ว..ได้เด็ดขาดเรื่องเดียวเองคือ ถึงพรหมแล้วต้องได้ยิน ทิพยกังสดาล...อันนี้เด็ดขาดเลย...
ประสบการณ์ที่ชัดที่สุด...
...มนาปกายิกา
จัดอยู่ในชั้นปฐมฌาน มี ๔ วรรณะ...คือมี คลื่นแสงทั้ง 4
สีเลยครับ
เป็นความพิเศษ ของ แม่บ้านแม่เรือน...
อยู่กะผัวอดทนปรนนิบัติได้สมาธิถึงพรหม
แต่ผู้ชายจะได้สมาธิต้องบวชสถานเดียว
..
หรือเป็นอนาคามีไปเลย...มีเรือนไม่ได้
เห็นสิทธิพิเศษของผู้หญิงเค้าก็เรื่องนี้ล่ะครับ
...ท่านอจ.พุทธทาสจะยังไงก็ตาม
แต่ท่านก็ตั้งข้อสังเกต เรื่องนี้ไว้..เป็นปราชญ์พุทธองค์เดียวที่เฉลียว
แต่ไม่ได้ค้นคว้าต่อ...ผมเลยต่อยอดมาจากที่ท่านตั้งข้อสังเกตุไว้น่ะเอง
...ในโลกวัตถุ...มนาปกายิกา...ก็ระดับเดียวกะกสิณ
สี (วรรณะกสิณ) ครับ
มันต้องโยงกลับมาหา..กสิณายตนะ
อีกรอบหนึ่ง....
...จาคะ อันยิ่งใหญ่ที่นำไปสู่การเป็นพรหมนารี..ครับ...
หญิงแท้ๆ จึงมีคุณค่าและหายากมาก...อยากได้อย่างนี้เลยครับ...
...เอาหลักฐานในคัมภีร์ มาจับผิดพวก..พวกก็จะรุมกระหน่ำเอาว่า..
ไอ้ตัว
ยึดติดในคัมภีร์..ครับ!!!... .....ต้อง รู้เอง เห็นเอง อย่างพวกเท่านั้นจึงจะถูกต้อง...
คัมภีร์น่ะ
ผิด...คัมภีร์น่ะ คลาดเคลื่อน..เอากะพวกสิ!!!
...ไอ้ ไม่ยึดติด ผมก็ท่องได้นะ..
เจี้ยว อว่าย เปี้ยะ ถวน
A special transmission
outside the Scripture
ปู๋ หลี อวุ๋น จื้อ
No dependence upon word and
letters;
จือ จื่อ เหยิน ซิน
Direct pointing to the
souls of man;
เจี้ยน สิ้ง เฉิง ฝู้
Seeing into one s own
nature"
แปลไทยว่า ;
ต่างตน ยั้งอยู่นอก คัมภีร์
อักขระ วางวาที ว่างพร้อง
มุ่งตรง จิตซึ่งมี กระจ่าง
สว่างสู่ ตูตนต้อง ถ่องถ้วน ถึงธรรม ฯ
...อุปาทาน ๔ (กาม, ทิฏฐิ, ศีลวัตร, อัตตา) อ้วนๆ
เนื้อๆ...
...นี่..ครับ สถานภาพของ
ความรู้ ที่ไม่ใช่ อุปาทาน
ตามประสบการณ์การค้นพบของพระพุทธศาสนา...
๑.
เว้นไปจากความเชื่อ (ศรัทธา)
๒. เว้นไปจาก
ความพอใจ (รุจิ)
๓.
เว้นไปจากการเรียนรู้ตามๆกันมา (อนุสสวนะ)
๔. เว้นไปจาก
การวิเคราะห์โดยรอบด้วยตรรกะ (ปริวิตักก)
๕
เว้นไปจากการพิสูจน์ได้ ตามเงื่อนไขของทฤษฎี (ทิฏฐินิชฌานขันติ)
เพราะธรรมตามข้อทั้ง
๕ นี้ ย่อมมีวิบากเป็นส่วนสอง คือ เท็จก็ได้ จริงก็ได้
การไม่เว้น
ชื่อว่ามีการปรุงแต่งอยู่ ธรรมที่มีการปรุงแต่ง ย่อมชื่อว่า อุปาทาน
จาก (๒๙๑)
อาคันตุกะสูตร มหาวารวรรค สังยุตตนิกาย ไตรปิฎก สยามรัฐ เล่ม ๑๙/๔๕
(๒๖๙) โกสัมพีสูตร มัชฌิมนิกาย
(๖๕๕) จังกีสูตร มัชฌิมนิกาย ไตรปิฎก สยามรัฐ เล่ม ๑๓/๔๕
...มาตรฐานองค์ความรู้
ตามหลักการของพระพุทธสาสนา เป็นอย่างนี้ครับ
...เกิดจากเสรีภาพของจิตล้วนๆ ผู้ไม่รู้ว่าความรู้จริงในพระพุทธศาสนามีคุณภาพอย่างไรก็จงรู้ได้แล้ว...อย่าดันทุรังความมั่วของตัวเองที่ไม่ต่างจากการคอร์รัปชั่นธรรมกันอยู่เลย...ทำบาปไม่มีสติกันทั้งนั้น...เที่ยวอ้างแต่
กาลามสูตร..ตามๆกัน เป็นนกแก้วนกขุนทอง
ไปหมดแล้ว....สูตรหลักการจริงๆของท่านมีอยู่ จัดมาให้ได้รับรู้ ด้วยหลักฐานตามเป็นจริงแล้วนะครับ....
...ความรู้, การสร้างความรู้ให้สมองแบบพุทธ-พุทธ
คือ
๑.พัฒนาระบบอายตนะ..ให้มีประสิทธิภาพกว่าที่เป็นอยู่ปกติ
...เกิดขึ้นตอน
สำรวมอินทรีย์(อินทรียสังวร)
ที่ฝึกแยกพลังงานจากหัวใจกะที่ส่งไปเลี้ยงการตีความที่สมอง
เกิดขึ้นได้จากขั้นตอน
...สัทธา >> ศีล >> สันโดษ >> อินทรียสังวร.......
นี่คือขั้นตอนพัฒนา.
๒. พัฒนาระบบพลังงานที่เชื่อมต่อระหว่างหัวใจ
กับสมอง...ขณะสมองจะตีความเมื่อสิ่งเร้ากระทบกะอายตนะ ทั้ง ๕ ระบบ
อันนี้เรียกว่า
ตามรู้เท่าทัน ครับ.
อย่างไม่ต้องอธิบายเลย
ก็คือ จัดระเบียบความคิดพื้นฐานให้เข้ากับรูปลายลักษณ์ของเส้นเรขาคณิตพื้นฐาน คือ ฝึกโดยหัดคิดหัดรู้สึกกะไวเบรชั่น
หรือออสซิลเลทของระบบ
จุติ-อุบัติของจักรวาล..ที่มาของคัมภีร์ปถมัง ครับ..
หลักการพื้นฐาน มีแค่นี้ล่ะ...
...พวกฝรั่งโอปปาติกะ ตั้งแต่สมัย
ร.๔ มันว่า ล้าหลัง งัย...
แยกออกมาให้เห็น ถ้ารับได้ ก็เซ่อแดก...เท่านั้นเอง...
...มาฟัง...พระศาสดา
กับ พระองค์อุปัฏฐาก ท่านสนทนาธรรมกัน..!!!
ท่านพระอานนท์
กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
"ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี
นี้เป็น กึ่งหนึ่ง
แห่งพรหมจรรย์ เทียวนะ พระเจ้าข้า "
พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า
"ดูกร อานนท์
เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น
ก็
ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี
นี้ เป็นพรหมจรรย์
ทั้งสิ้น ทีเดียว....ฯลฯ"
จาก (๔-๕) อุปัฑฒสูตร
มหาวารวรรค สังยุตตนิกาย ไตรปิฎก สยามรัฐ เล่ม๑๙/๔๕
...ชีวิตนี้ของเรา...เรามีเพื่อนที่ดี
กันแล้ว หรือยัง?
อย่าให้เสียชาติเกิด ที่ได้เกิดมาแล้วพบพระพุทธสาสนากันเลยนะครับ...!!!
...พบข้อมูลนำเสนอ
เป็นหลักฐานสำคัญมากอีกประการหนึ่งแล้ว ครับ
วิโมกข์ ๘ ที่ในเบรค ที่
45 คือ อรรถะ ความหมาย จำกัดความของบทสวดพุทธคุณ วรรคที่ว่า..
อนุตตะโร
ปุริสะทัมมะสาระถิ...เป็นผู้สามารถ ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้
อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า..คือ
สารถี ผู้ฝึกมนุษย์ ครับ..!!!
คือ..ฝึกให้มนุษย์
วิ่งไปในทิศทางทั้ง ๘ คือ วิโมกข์ ๘ นี้เอง
มีพระพุทธวจนะ
ตรัสไว้ว่า..
* ภิกษุทั้งหลาย
บุรุษที่ควรฝึก อันตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
สอนให้วิ่ง
ย่อมวิ่งไปได้ทั่วทิศทั้ง ๘ ดังนี้
ข้อที่เรา
กล่าวดังนี้ว่า ศาสดานั้น เราเรียกว่า สารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก
ยอดเยี่ยมกว่าอาจารย์ผู้ฝึกทั้งหลาย
นั่น...
เรา อาศัยเหตุดังนี้กล่าวแล้ว
ฯ
จาก (๖๓๗)
สฬายตนวิภังคสูตร (ไม่ขอบอกว่า เป็นพระไตรปิฎกเล่มไหน)
...ธรรมในพระไตรปิฎก ท่านถักประสานตรรกะสอดคล้องหนุนเนื่องกันอย่างแน่นหนามาก
การที่พจนานุกรมพุทธศาสนาหรือหลักสูตรสอนธรรมใดๆก็ดีไปตัดตรรกะวิโมกข์
๘ ออกจากที่พระศาสดาอธิบายถึงพระพุทธคุณออกจากการเผยแผ่ธรรม
นักปราชญ์นั้นมันก็ก็แค่
นักคอร์รัปชันธรรม จิตใจและสติปัญญา
ไม่แตกต่างจาก
นักการเมืองในยุคปัจจุบันนี้เลย
ขอประณามครับ...
...บทพุทธคุณ ที่ขึ้นต้น ด้วยอิติปิโส..มีพระพุทธวจนะตรัสเนื้อหาความหมายในเชิงวิเคราะห์ความหมายไว้ทั้งหมด...
ใครผู้ใดที่มันบังอาจ
บิดเบือน ปิดบัง...กลบเกลื่อน...คือผู้ทำลาย...โดยแท้...
นี่คือหลักฐานสำคัญที่พระ..ไม่มีใครมรณภาพด้วยดีเลย...
...ศัพท์ปฏิบัติการโยคะทางจิตที่อยู่ในวิโมกข์
๘ ไม่ปรากฏในคำสอนของทุกสำนัก...
ทั้งที่ทุกสำนักกล้าสวด...อนุตตะโร
ปุริสะทัมมะสาระถิสัตถา....แต่ไม่รู้รายละเอียดที่มากันเลย...
...แล้วสอนสมาธิอะไรกัน..น่าสดสยองมากครับ...
...ปฐมฌาน
เป็นบาทรองรับกสิณ ทั้ง ๑๐ และ สมาบัติของนิพพานขั้นที่ ๑ (อนาคามี)...นิพพาน ๔
ขั้น พระทุกวันนี้ก็ไม่มีใครรู้เรื่องเช่นกัน...
ผู้ได้ฌาน
มีพระพุทธวจนะตรัสรับรองไว้ชัดเจนด้วยว่า
เป็นผู้ไม่เหินห่างคำสอนของพระศาสดาด้วย...หนัก..แรงมากครับ...
...เป็นมหัคตาจิตที่พิสูจน์พิกัดความมีอยู่จริงของ
ควอนตัมแห่งรูปชีวิต (กรอบรูป..Category แห่ง มวลควอนตัมของ
ชีวิตินทรีย์) ในสนามเวลา...ครับ..อนัตตาต้องสัมผัสเห็นปรากฏการณ์นี้ (ญาณทัสสนะ)
คือเรื่องนี้เองครับ..ไม่ใช่ท่องอย่างนกแก้ว..
หมายถึงเมื่อพิสูจน์ความมีอยู่ในรูปชีวิตของตนในสนามเวลาได้แล้ว ย่อมเห็นรูปชีวิตในสนามเวลาที่มีความเข้มข้นเท่ากัน
นั่นคือ มนาปกายิกา ทั้ง ๔
วรรณะ...ครับ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
No comments:
Post a Comment