Breaking Dharma PART 75...!!!
....
ทำไม..
พระพุทธศาสนา ต้อง...
ฝึกอบรมจิต
(สจิตฺตปริโยทปนํ..Sacittapariyodapananฺ)?!!
*เหตุผลจาก
วิทยาศาสตร์สัมพัทธภาพ คริสตศตวรรษ 20 ;
ความหวังที่จะเปิดเผยความลี้ลับของธรรมชาตินั้น
อาจเป็นไปได้ว่า
บัดนี้มนุษย์ได้ก้าวมาถึงขอบเขตจำกัดอันหนึ่ง
ของธรรมชาติอันสับสนซึ่งแวดล้อมตัวเขาอยู่
ในการค้นลึกเข้าไปภายในจุลจักวาล
เขาได้พบภาวะไม่มีกำหนด (indeterminacy)
ความเป็นสอง (duality)
และความขัดแย้งกันเอง
เหล่านี้
เป็นสิ่งกีดขวางซึ่งดูประหนึ่งจะเตือนเขาว่า
เขาไม่สามารถจะสอดรู้สอดเห็นและอยากรู้จนเกินไป
ที่จะรู้เข้าไปจนถึงแก่นของสิ่งต่างๆ
โดยไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เขาต้องสังเกต
และในการสำรวจเข้าไปในมหาจักรวาลนั้น
ในที่สุด
เขาก็ได้มาถึงเอกภาพอันปราศจากรูปร่าง
ลักษณะของ
อวกาศ-กาล, มวล-พลังงาน, สสาร-สนาม
อันเป็นพื้นฐานสุดท้าย
ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลง และดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์
ซึ่งดูเหมือนว่า
จะไม่มีทางไปได้ไกลกว่านี้ได้อีกแล้ว
เพลโต้ได้กล่าวไว้ว่า
"คุกนั้นคือ โลกแห่งการเห็นของเรานั่นเอง"
ทางทุกทางซึ่งจะหนีไปจากคุกอันนี้
ซึ่งวิทยาศาสตร์พยายามค้นหานั้น
ดูเหมือนจะค่อยพากลึกเข้าไปสู่
อาณาจักรอันมืดมัวของสัญลักษณ์
และนามธรรม
*ความพยายามที่จะแยกระหว่างลักษณะที่ปรากฏออกมา
จากความแท้จริง
และตีแผ่โครงสร้างพื้นฐานของเอกภพ
ให้เป็นที่ประจักษ์นั้น
วิทยาศาสตร์จำต้องขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่า
"
ความสับสนของอายตนะ "
....
.... ....
เพราะ
โลกที่มนุษย์เรารู้จักจริงๆได้นั้นมีอยู่โลกเดียว
คือ
โลกซึ่งสร้างขึ้นโดยอาศัยอายตนะของเรา
ถ้าหากลบความประทับใจทั้งหมด
ที่เราตีความจากที่อายตนะรับรู้
และที่ความทรงจำของเราสะสมไว้แล้ว
ก็จะไม่เหลืออะไรเลย
...
... ฯลฯ
จาก
บทที่ ๑๕ เอกภพ และ ดร.ไอน์สไตน์
The
Universe and Dr.Einstein by Lincoln Barnett, 1962
เปรียบเทียบ...
*โลกสร้างขึ้นจากอายตนะ..ตามสำนวนพระพุทธศาสนา
;
ท่านพระสมิทธิเถระทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
;
"
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า โลก โลก ดังนี้
ด้วยเหตุเพียงเท่าไร
จึงเป็นโลก หรือบัญญัติว่าโลก?"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
;
"ดูก่อน
สมิทธิ
จักษุ
รูป จักษุวิญญาณ ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณ
มีอยู่
ณ ที่ใด โลก หรือการบัญญัติว่าโลก ก็มีอยู่ ณ ที่นั้น..
โสต (หู)
สัททะ (เสียง) โสตวิญญาณ ธรรมที่พึงรู้แจ้ง...ฯลฯ
ฆานะ (จมูก)
กลิ่น(คันธะ) ฆานวิญญาณ ธรรมที่พึงรู้แจ้ง...ฯลฯ
ชิวหา (ลิ้น)
รส ชิวหาวิญญาณ ธรรมที่พึงรู้แจ้ง..ฯลฯ
กาย
โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) กายวิญญาณ ธรรมที่พึงรู้แจ้ง..ฯลฯ
มโน (ใจ)
ธรรมารมณ์(สัมผัสทางใจที่เกิดจากประสบการณ์
อายตนะทั้ง
๕ ข้างต้น) มโนวิญญาณ
ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ
มีอยู่
ณ ที่ใด โลก หรือการบัญญัติว่าโลกก็มีอยู่ ณ ที่นั้นฯ"
จาก
ข้อ (๗๕) สมิทธิสูตร สฬายตนวรรค สังยุตตนิกาย
ไตรปิฎก
สยามรัฐ เล่ม ๑๘/๔๕
อธิบายตามมติผู้ถ่ายทอด
;
วิทยาศาสตร์ได้ค้นพบมาถึง
ที่สุดของขอบเขตการรับรู้ของอายตนะแล้ว
จึงเรียกว่า
"ความสับสนทางอายตนะ" ในคริสตศตวรรษที่ 20
และได้ตั้งความหวังอันเลือนลางไว้ว่า
...
..บางทีสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจดีนัก
ที่เราเรียกกันว่า
* จิต * นั้น
อาจเป็นสิ่งที่นำมนุษย์ไปสู่จุดหมายปลายทาง
ในท่ามกลางความไม่แน่นอนต่างๆ
ในเอกภพนี้ได้
...เจตจำนงเสรี (Free
Will) นั้น มีอยู่...ฯลฯ
(จาก
บทที่ ๔ เอกภพและดร.ไอน์ไตน์ เล่มเดียวกัน)
พระพุทธศาสนานั้นได้ทำการค้นพบเทคนิคการก้าวข้าม
ความสับสนทางอายตนะ
มากว่า ๒,๖๐๐ ปีแล้ว
เรียกว่า...
อภิภายตนะ บ้าง วิมุตตายตนะ บ้าง
อภิภายตนะ
คือ อายตนะอันยิ่ง อาจตรงกับ..
Paranormal
Sense หรือ Supramental Mind ในภาษาอังกฤษ
โดยหลักฐาน
เป็นธรรมหมวด ๘ เรียกว่า อภิภายตนะ ๘
เป็นศัพท์เทคนิคที่หลุด
ตกหายไปจากพจนานุกรมพระพุทธศาสนา
ทุกฉบับ
ทุกภาษาในโลก
วิมุตตายตนะ
เป็น ธรรมหมวด ๕ เรียกว่า วิมุตตายนะ ๕
ในมหาเวทัลลสูตร
มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย ไตรปิฎกสยามรัฐ
เล่ม
๑๒/๔๕ เป็นพระสูตรที่เกิดจากการสนทนา
ระหว่างท่านพระมหาโกฏฐิตะ
กับท่านพระสารีบุตรในการพบกันครั้งแรก
ท่านพระมหาโกฏฐิตะ
ได้เรียกเทคนิคการก้าวข้ามความสับสน
แห่งอายตนะตามที่วิทยาศาสตร์กำลังฉงนฉงายนี้ว่า
*
มโนวิญญาณอันบริสุทธ์ อันแยกจากอินทรีย์ ๕ แล้ว *
เทคนิคการก้าวข้ามความสับสนทางอายตนะที่วิทยาศาสตร์
คริสตศตวรรษที่
20 กล่าวถึงนี้เอง คือหัวข้อธรรมที่พระพุทธศาสนา
เรียกว่า..
*
สจิตฺตปริโยทปนํ (Sacittapariyodapananฺ) *
ความเข้าใจเร่งด่วนนี้
ควรนำมาพัฒนาประสิทธิ์ภาพความเป็นมนุษย์กันหรือไม่?
หรือจะปล่อยให้ความสับสนทางอายตนะอันเป็นที่มาของความรู้แตกต่างและขัดแย้งกัน
จนต้องจับศัสตราวุธมาประหัตประหารอย่างที่กำลังดำเนินอยู่
เพราะ
ความเป็นทาสทางอายตนะที่มีขอบเขตดังคุกตามคำกล่าวของ เพลโต้
....จงพิจารณากันเอง
และการที่มี
มิจฉาทิฏฐิกลุ่มใหญ่กล่าวว่า ศาสนาไม่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
รวมทั้งที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่งคั่งทางวัตถุบนการหลอกลวงชาวโลกและ
เอาเปรียบสังคม
ทั้งหลาย...ก็ขอให้จงรีบไปผุดไปเกิดโดยเร็วด้วย
อย่ามาทำให้สังคมมนุษย์สับสนยิ่งไปกว่าที่กำลังเป็นอยู่นี้เลย....!!!
ขอความรุ่งเรืองแห่งทิพยกายจงบังเกิดมีแก่ท่านผู้ไฝ่ธรรมอย่างมีเหตุผลเป็นวิทยาศาสตร์ทุกๆท่านด้วย
เทอญ
Atthanij Pokkasap
08:30
น.ขึ้น๓ค่ำ เดือนยี่
ศุกร์
๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๗
...มนุษย์ไม่ได้รู้จักตัวเอง...และไม่รู้ประมาณตน...จึงได้สร้างความเดือดร้อนให้กับมนุษย์ด้วยกันเองอย่างใหญ่หลวง
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
No comments:
Post a Comment