Breaking Dharma PART 24...!!!
....
สมสีสี
๓ (Samasisi 3)
(สุด-สุด
แห่งการบรรลุ และดับขันธ์)
๓
อริยบุคคลชั้นสูงสุดสมัยพุทธกาลที่อยู่ เหนือเหตุผล และนอกจินตนาการ ของชาวพุทธทั้งหมด
ในวิธีการบรรลุและวิธีการดับขันธ์ ;
ท่านที่
๑. ท่านพระอานนท์เถระ
ได้ชื่อว่าเป็น
* อิริยาบทสมสีสี (Iriyapata Samasisi)* ตามหลักฐานบันทึก
มหาเถระผู้เลิศในพหูสูตร องค์นี้ สมควรเป็นต้นแบบ
พลวัตแห่งกำเนิดของพระโพธิสัตว์ เพราะเป็นพระเถระองค์เดียวที่ทรงพลังมหาศาล..จนสามารถยืดเวลาแห่งการบรรลุออกไปจนถึงที่สุดของวัย
กระทั่งถึงภาระกิจสุดท้าย
จึงเข้าสู่สถานะของการบรรลุธรรมขั้นสูงสุด
…ในตอนได้อริยะผลชั้นต้น ทรงพละกำลังเสมอกับ นางวิสาขา ต้นตำหรับเบญจกัลยาณี คือ มีพละกำลังเทียบเท่ากับช้าง ๕ เชือก (5
แรงช้าง) สามารถใช้มือข้างเดียวยกเครื่องมหาลดาปสาธน์ ที่เป็นเครื่องประดับนกยูงรำแพนประกอบด้วยทองคำและอัญมณีหนักไม่ต่ำกว่า
๓๐๐ กิโลกรัมของนางวิสาขา ได้ราวกับปุยนุ่น ขึ้นวางพาดราวบันไดปราสาทได้
…ในตอนบรรลุอริยธรรมสูงสุด (อรหัตผล) ไม่อาจอยู่ในท่านิ่งท่าใดท่าหนึ่งได้
เนื่องจากพละกำลังมหาศาล
จึงต้องบรรลุในท่าระหว่างการเคลื่อนไหว
คือ
จากท่าขึ้นนั่งเตรียมจะเอนกายนอน เป็นที่มาของ * อิริยาบท สมสีสี
*
…และในตอนดับขันธปรินิพพาน ก็ต้องปรินิพพาน ณ
ที่ที่ไม่เคยมีใครตายมาก่อน
คือท่ามกลางอากาศ
เหนือแม่น้ำโรหิณี กำหนดเตโชธาตุเผาผลาญสรีระร่างจนกลายเป็นพระธาตุแล้วระเบิดให้พระธาตุกระจายตกทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำโรหิณี
เพื่ออุปัฏฐากทั้งสองฟากฝั่งจะได้ไม่ต้องทำสงครามชิงพระธาตุกัน.
ท่านที่
๒. ท่านพระปูติคัตตติสสะเถระ (Putigatta Tissa )
ชื่อท่านแปลว่า
ติสสะ ผู้มีกายเน่า ในสมสีสี ๓ได้ชื่อว่าเป็น * โรคสมสีสี (Roga
Samasisi) * ตามหลักฐานบันทึกท่านป่วยด้วยโรคกรรมเก่า มีกายเป็นฝีแตกเน่าไปทั้งร่าง ภิกษุรอบข้างพากันทอดทิ้งไม่อาจดูแลไหว จนพระพุทธเจ้าต้องเสด็จมา ต้มน้ำ ซักจีวรและเปลี่ยนสบงจีวรให้ด้วยพระองค์เอง (พระมหากรุณาของพระศาสดาลึกซึ้งนัก
T T)
…พระศาสดามาดูแลด้วยพระองค์เอง จัดการชำระร่างกายให้จนเถระท่านเบาตัว
พระศาสดาก็ประทับยืนเบื้องเหนือศรีษะของท่านเถระแล้วตรัสพระคาถาว่า..
*
ไม่นานหนอ กายนี้จักนอนทับแผ่นดิน,
กายนี้มีวิญญาณไปปราศ
อันบุคคลทิ้งแล้ว,
ราวกับท่อนไม้
หาประโยชน์ มิได้ ฉะนั้น.*
ท่านเถระฟังพระคาถาจบก็บรรลุพระอรหัต
พร้อมทั้งขาดใจปรินิพพานทันที.
ท่านที่
๓. ท่านพระโคธิกะ เถระ (Godhika)
เถระท่านนี้ได้ชื่อใน
สมสีสี ๓ ว่า เป็น * ชีวิตสมสีสี (Jivita Samasisi)*
เนื่องจากท่าน
ฝึก สจิตฺตปริโยทปนํ แล้ว พลังชีวิต ท่านไม่พอหล่อเลี้ยงฌานสมาบัติที่บรรลุ
ทำให้ได้ฌานแล้วเสื่อม ได้แล้วเสื่อม จนท่านเถระแน่ใจแล้วว่าเกิดจากพลังชีวิตท่านไม่พอ
จึงหยิบศัสตรา คือมีดโกน เตรียมไว้เลย...
…พอท่านเข้าฌานสมาบัติได้แล้วออก
เพื่อเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
ตามลำดับกระทั่งสุดท้ายคืนกลับมาที่ฌาน ๔ แล้วออกเพื่อดับขันธปรินิพพาน ก่อนที่ฌานสมาบัติจะเสื่อม ท่านก็ใช้มีดโกนเชือดคอ
ตายพร้อมกับการดับขันธปรินพพานทันที
…ตอนนี้ละครับพระยามารแปลงร่างเป็นควันพวยพุ่งตามหาปฏิสนธิวิญญาณของพระเถระท่าน
ตลอดช่องทวารทั้ง ๙ ไม่พบ ด้วยความเสียใจถึงทำพิณหล่นไว้ ต่อมาท้าวสักกะเทวราช
เก็บไปและประทานให้แก่คนธรรพ์เทพบุตรปัญจสิขร ครับ.
…สถานที่ปรินิพพานของท่านพระโคธิกะ ถูกแสดงไว้โดยบันทึกของท่านหลวงจีนฟาเหียน
โดยบันทึกว่า เป็นที่ๆพระอรหันต์องค์หนึ่งฆ่าตัวตายพร้อมกับปรินิพพาน...มีพระไทยที่ศึกษาไม่ถึงเมื่อ
๓๐ กว่าปีมานี้ ด่าท่านหลวงจีนฟาเหียนไว้เละเทะเลยครับ...น่าอายมาก
พระเถระ
ในทำเนียบ สมสีสี ๓ ทั้ง ๓ ท่าน
เป็นหลักฐานในเรื่อง
พลวัตแห่งปราณเพื่อการบรรลุ โดยตรงครับ. เป็นหมวดธรรมพิเศษ...
Atthanij Pokkasap รายงาน จาก ขอนแก่น.
13.45
น.พุธ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๖
...บรรลุพร้อมกับการตายของชีวิต ถูกต้อง ครับ
(การบรรลุ ต้องโอ้โลม ปฏิโลม สมาบัติ ๙ ก่อน แล้วถอยลงไปที่ ฌาน ๑ ขึ้นมาที่ ฌาน ๔ แล้วออกไปเลย ครับ
ไม่ใช่กำหนดออกได้เลย...พระไทยไม่รู้เรื่องของวิธิการนิพพานกันเลยครับ เมื่อจับโครงสร้างสมาบัติ ๙ มาวิเคราะห์!!!)
...ครับ
เป็นข้อสังเกตสำมะคัญที่คนไทยไม่เคยให้ความสนใจ....พลาดตั้งแต่เริ่มต้นสอนกันให้กำหนดจิต ให้กำหนดสติ ไปนู้นเลย...แล้วละครับ...
…ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค...ท่านจึงว่า อานาปานาสติ
เป็นเรื่องของมหาบุรุษ...คนไม่จิตใจยิ่งใหญ่พอ ฝึกไม่ขึ้นครับ...ผมจึงพยายามไม่พูดถึงขั้นที่สอง....
เอาแค่ขั้นแรกที่ผมสรุปว่า ตั้งใจหายใจ...พอแล้ว ขั้นแรกนี้พอแล้ว...แข็งแรงเมื่อไหร่
ขั้นต่างๆตามมาเอง...ครับ
…ท่านศิษย์คงจำที่เขาสอน ญาณ ๑๖ ได้ อยู่ใช่มั้ย...สำนักดังๆ เขาก็สอนสติปัฏฐาน สอนอานาปานสติ..สอนการเข้าฌาน แบบเดียวกะสอนญาณ ๑๖ ขั้นนั่นเอง...แก้วจ๋า แก้วจ๋าทองจ๋า...งัยครับ
…ความหมายทั้งหมดของหมวดปฏิบัติอยู่ใน ปฎิสัมภิทามรรค ขุททกนิกาย ไตรปิฎกเล่ม
๒๙, ๓๐/๔๕ ครับ เป็นอรรถาธิบายของท่านพระสารีบุตร...
…พวกสำนักปฏิบัติธรรมไม่เคยอ่าน ถึงอ่านก็อ่านไม่รู้เรื่องครับ...ใช้ปฏิภาณจากประสบการณ์ในเนื้อพระสุตตันตทั้งหมดประกอบครับ...
…เป็นการถักสานพระสูตรที่ซับซ้อนมาก...ผมเอาแสดงอันเดียวคือ จิตมั่นคงในวัตถุใด...นั่นละครับ...เพราะมีประกาศิตในนั้นเองให้ถือเป็นเรื่องวงในสุดยอด...ไม่ใช่ให้รู้ทั่วไป...
…คนที่จะเข้าใจทะลุ (แบบหลวงจีนกั๊กเอี๋ยง อาจารย์ของจางซันฟง..คืออ่านไปปฏิบัติไปบรรลุไปในขณะอ่าน) จะต้องแม่นยำทั้งพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎก ผมได้แค่พระวินัยกะพระสุตตันตะ
เท่านั้น...ส่วนอภิธรรมผมยังไม่แม่นพอ...ครับ...
…บอกไปอาจเหลือเชื่อ กุญแจไขความลับทั้งหมดของพระอภิธรรม
คือ คัมภีร์สุริยยาตร์ครับ
(ผมยังไม่มีอยู่ในมือเลย..เขษมบรรณกิจพิมพ์ขายเล่ม
๑๐ บาทเท่านั้น เมื่อ ๔๐ ปีก่อน)
เข้าใจสูตรในคัมภีร์สุริยยาตร์ จะจำทุกหมวดหมู่ของอภิธรรมได้แม่นยำทั้งหมดครับ...ประหลาดมาก...
...ผมยังไม่มีโอกาสตามล่าคัมภีร์สุริยยาตร์
เคยเห็นแต่ในรายการมีวงเล็บว่า หมดแล้ว
เท่านั้น...เพราะสูตร ที่พ่อขุนพระญาลิไทยท่านเรียกว่า "สรุปอัปปะ" คือประมวลหัวข้ออภิธรรมที่ใช้ในการคำนวณหาเวลาที่เป็นโครงสร้างในแต่ละส่วนของจิต
ครับ
ยิ่งใหญ่ลี้ลับ...มาก.
…โหราพวกนี้ไม่รู้เรื่องหรอกครับ ขนาดว่า
ดาวทั้งสิบโคจรรอบเขาพระสุเมรุยังไปไม่เป็นเล้ยยยย....ว่าแต่หมุนรอบดวงอาทิตย์ ทั้งที่อาทิตย์ก็อยู่ในวิถีดาวทั้ง ๙
ที่เหลืออ...ทั้งหมดไม่รู้เรื่องหรอกครับ...
…ทำไมพระพุทธศาสนา จึงกำหนดให้เขาพระสุเมรุเปนศูนย์กลางของจักรวาล?...
ตอบว่า เพราะพระพุทธศาสนาค้นพบว่า โลก มีการหมุนอย่างน้อย ๖ ระบบ น่ะครับ
๑.หมุนรอบตัวเอง (๘
กม./วินาที)
๒.หมุนรอบซึ่งกันและกันกับดวงจันทร์
๓.หมุนรอบดวงอาทิตย์
๔.ดวงอาทิตย์พาหมุน (แกว่ง) รอบแกนดาวเหนือ
๕.กลุ่มสุริยจักรวาลพาหมุนรอบแกนกาแล็กซี(แสนโกฏิจักรวาล)
๖.กาแลกซี่ (กลุ่มแสนโกฏิจักรวาล)
พากลุ่มหมุนรอบแกน...(เอกภพ?)
เขาพระสุเมรุ =
ครน.ของการหมุนอย่างน้อย ทั้ง ๖ ระบบที่ว่าน่ะละครับ
...เป็นค่าเฉลี่ยที่ดาราศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์ก็ไม่เคยคิด และคิดไปไม่ถึง
ทั้งๆที่วิทยาศาสตร์สัมพันธภาพของไอน์สไตน์ก็กล่าว เอาไว้...ครับ
…ความรู้ที่มีอยู่ในจิตใจของเราจึงไม่มีค่าสมบูรณ์ เพราะต้องเปรียบเทียบ (สัมพัทธภาพ) เอาทั้งหมด....เป็นที่มาของ
สมมติสัจจะ...การที่คนแสดงความคิดตามที่ผมได้ชี้ให้เห็น...คือเป็นการคิดแบบลุแก่อำนาจ (แสดงค่าสมบูรณ์
..แบบคิดเอาเอง)
การไม่เปรียบเทียบกับอะไรเลยเป็น
"ปรมัตถสัจจะ" เกิดขึ้นได้จากจิตที่หลุดพ้น (เจโตวิมุตติ....สาระที่สุดของพรหมจรรย์) แล้วเท่านั้นครับ....
…อย่าไปเปรียบเทียบกะคนอื่น
ให้มองมาที่จิตของตนเท่านั้น……..เอาอะไรมองไม่ทราบ!?!……
นี่คือสเตตัสที่แสดงการลุแก่อำนาจทางความคิด...ไม่มีเทคนิคอะไรเลยที่ทำให้เห็นว่าเป็นเรื่องที่จะเป็นไปได้...อยู่คนเดียวในโลกยังงั้นเหรอ
ก็เปล่า...รู้จักเทคนิคการมองภายในตนเองแล้วเหรอ...ก็เปล่า...บ้าสิครับ...มันบ้าอำนาจ
ลุแก่อำนาจ....
…เรากำลังคุยกันถึงมรรคา...แห่งพระพุทธศาสนา...ชีวิตที่ถือเอามรรคาแห่งพระพุทธศาสนาเป็นเส้นทางดำเนินไป...แล้วมีกี่คนจะบอกได้ว่า
ที่สุดของมรรคานี้คืออะไร...(อาจมั่วๆว่า คือนิพพาน แต่ก่อนนิพพานคืออะไร เทคนิคนิพพานสิครับ)
…มรรคานี้มี "เจโตวิมุตติ" เป็นอานิสงส์ครับ....เป็นชาวพุทธต้องรู้...แต่ที่คุยกันมาส่วนใหญ่ ผมพูดถึงเทคนิค...ไม่ได้พูดบรรยายความงามของเส้นทางอย่างที่ชอบเพ้อเจ้อกัน...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
No comments:
Post a Comment