Breaking Dharma PART 61...!!!
....
ตอน
การปรากฏของคัมภีร์อักขระ สมัยพุทธกาล!!!
(ทบทวนซ้ำ..เพราะเคยลงมาก่อนเป็นปีแล้ว)
สุนทริกภารทวาชพราหมณ์
เป็นพราหมณ์บูชาไฟ (โซโรอัสเตอร์!!!)
ตั้งสำนักบูชาไฟ
อยู่ริมฝั่งแม่น้ำสุนทริกา แคว้นโกศล
(แสดงให้เห็นถึง กรีก
และเปอร์เซีย ไปมาหาสู่อารยันอินเดียตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว)
หลังจากบูชาบำเรอไฟแล้ว
ได้ถือเครื่องบวงสรวงเป็นข้าวปายาสกับเต้าน้ำ
เดินเลียบฝั่งแม่น้ำสุนทริกา
พบพระพุทธเจ้านั่งประทับ
ใช้ผ้าสังฆาฏิคลุมเศียรอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
เมื่อพราหมณ์บูชาไฟเดินมาถึงพระพุทธเจ้าได้เลิกผ้าคลุมเศียรออก
พราหมณ์บุชาไฟ
ได้ถามพระพุทธเจ้าว่า
"ท่าน มีชาติ
อย่างไร?"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
" เรา
ไม่ใช่พราหมณ์ ไม่ใช่ราชโอรส
ไม่ใช่แพศย์ หรือใครๆ
เรากำหนดรู้โคตรของบุคคลแล้ว
ไม่มีความกังวล
เที่ยวไปด้วยปัญญาในโลก
เรานุ่งห่ม (ไตรจีวร)
สังฆาฏิ
ไม่มีเรือน ปลงผมแล้ว
มีตนดับความเร่าร้อนแล้ว
ไม่คลุกคลีกับด้วยมนุษย์
ทั้งหลายที่ยังเที่ยวไปอยู่ในโลกนี้
ท่าน
ถามถึงปัญหาเกี่ยวกับโคตร อันไม่สมควรกะเรา
ดูกร พราหมณ์ผู้เจริญ
พวกพราหมณ์
ย่อมถามกับพวกพราหมณ์ด้วยกันว่า
ท่านเป็นพราหมณ์
หรือหนอ
ถ้าท่านกล่าวว่าเราเป็นพราหมณ์
แต่นี่
ท่านกล่าวกะเรา ผู้มิใช่พราหมณ์
เพราะเหตุนั้น
เราขอถาม
***
สาวิตรี ซึ่งมี บท ๓ มีอักขระ ๒๔ กะท่าน ***
???
พราหมณ์ทูลตอบว่า
(คือเนื้อความของอักขระ
๒๔ ตัว)
"พวกฤๅษี มนุษย์
กษัตริย์ เเละพราหมณ์เป็นอันมากในโลกนี้
อาศัยอะไร
จึงได้กำหนดยัญแก่เทวดาทั้งหลาย . "
แล้วพระพุทธองค์
ได้ทรงอธิบายความสำเร็จแห่งยัญกรรมที่พราหมณ์ควรบูชา...ขึ้นต้นดังนี้..
" ดูกร พราหมณ์
ถ้าอย่างนั้นท่านจงเงี่ยโสตลงเถิด
เราจักแสดงธรรมแก่ท่าน
ท่านอย่าถามถึงชาติ
จงถามถึงธรรมสำหรับประพฤติเถิด..
...ฯลฯ
จนพราหมณ์เกิดดวงตาเห็นธรรม
จะถวายอาหารจากยัญเพื่อบูชา
แต่พระพุทธองค์ตรัสว่า
" ดูกร พราหมณ์
เรา
ไม่พึงบริโภคโภชนะที่ขับกล่อมได้มา
ข้อนี้ไม่ใช่ธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
...ฯลฯ
สุดท้าย
สุนทริกภารทวาช ผู้บูชาไฟ ก็ขอบวชเอากะพระพุทธเจ้า ซึ่งก็ได้รับพุทธานุญาต
เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในสมัยพุทธกาลนั้นเอง
จาก ข้อ (๓๕๘)
สุนทริกสูตร สุตตนิบาต ขุททกนิกาย
ไตรปิฎก สยามรัฐ เล่ม
๒๕/๔๕
แสดงถึง..
(๑) หลักฐาน
บันทึกคัมภีร์แบบตัวหนังสือ สมัยพุทธกาล มีอยู่
(๒) ศาสนาโซโรอัสเตอร์แบบเปอร์เซียยังมีอยู่ทั่วไปในอารยัน
ที่อพยพเลื่อนไหลมาทางตะวันออกก่อนเป็นอินเดียในกาลต่อมา
Atthanij
Pokkasap
อัญเชิญมาเปิดเผยซ้ำรอบที่ ๒
14:30 น.ขึ้น ๑๔ ค่ำ
เดือน ๑๒
วันเสาร์ ที่ ๑๖
พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๖
...โครงสร้างสังคมและประวัติศาสตร์อารยันล้วนมีรายละเอียดแล้วในบันทึกพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระไตรปิฎก....
ไม่ว่าวัฒนธรรมอาหาร
ดนตรี และการประดิษฐอาวุธสงคราม แผนผังการสร้างนครมหานคร...ล้วนมีบันทึกเป็นรายละเอียดเอาไว้ทั้งสิ้น..พวกไม่เคยอ่าน...โกหกกันหน้าด้านๆ...
ดูถูกพระธรรม
ดูถูกบันทึกโบราณ...ด้วยพฤติกรรมหยาบช้ากันทั้งผ้าเหลืองและไม่ใช่ผ้าเหลือง
หลักฐานหยาบๆแค่ประวัติศาสตร์ยังอ่านไม่เจอ
คุยว่าอ่านธรรมจากพระไตรปิฎก...เป็นพวกแก้วน้ำตัน..ทั้งนั้น
ยุคทำลายสยามโดยแท้ๆ ยุคตัดต้นหมากห้ามกินหมาก...แล้วก็ตัดตอนอักษรไทย ข.ขวด กะ ค.คน...
...การเอาสังฆาฏิคลุมองค์ตั้งแต่ตลอดเศียรลงมา.....แปลกมั้ย?
หลายๆเรื่อง...เรื่องเดียวกัน
ประโยคเดียวกัน...ถููกละเลย ถูกมองข้าม...ศึกษากันอย่างหละหลวม..อย่าง...ไม่น่าเชื่อนะครับว่า
จะอ่อนภาษากันถึงขนาดนี้..ในขณะที่ได้รับการยกย่องทั้งสังคมว่าเป็น
ปราชญ์.......น่ะครับ..ปราชญ์ที่ความรู้เต็มไปด้วยการขาดวิ่น
เหวอะหวะ....จึงเป็นกรรมหนักของสังคมอย่างที่เราท่านทั้งหลายกำลังประสบกันอยู่นี่
งัยยย...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
No comments:
Post a Comment