Breaking Dharma PART 48...!!!
....
จะรู้ว่าใครมันพูดเอาเอง
เรามาดูหลักฐานชั้นพระบาลีกัน
(บาลี คือสัญลักษณ์
แห่งพระธรรม และเป็นแผนที่ของการปฏิบัติธรรมด้วย)
๑.
ว่าด้วยลักษณะการเสื่อมสูญของพระศาสนา
๒.
ว่าด้วยความผูกพันความเป็นญาติข้ามภพข้ามชาติ
๓.
ว่าด้วยการบรรลุธรรมที่ได้คุณวิเศษ (อุตตริมนุษยธรรม)
ผู้เป็นสายโลหิต
ในกาลก่อน
คือผู้กระทำสมณธรรมร่วมกันในครั้งก่อน
(เคยปฏิบัติธรรมร่วมกันในอดีตชาติ
ย่อมได้มาเกิดเป็น ญาติกัน)
ได้ยินว่า ในกาลก่อน
เมื่อศาสนาของพระทศพล
พระนามว่ากัสสปะเสื่อมลงอยู่
ภิกษุ ๗ รูป
เห็นประการอันแปลก
แห่งบรรพชิตชิตทั้งหลายมีสามเณร
เป็นต้นแล้ว
(พระวินัย
เสื่อมทรามลง โดย เห็นจากวัตรปฏิบัติตั้งแต่สามเณร )
ถึงความสลดใจคิดว่า
ความอันตรธานแห่งพระศาสนายังไม่มีเพียงใด
พวกเราจักกระทำที่พึ่งแก่ตน
เพียงนั้น ฯ
ภิกษุ ทั้ง ๗
ไหว้พระเจดีย์ทองคำแล้ว เข้าไปสู่ป่า
เห็นภูผาสูงแห่งหนึ่ง
ได้กล่าวในหมู่กันว่า
"ผู้มีอาลัยในชีวิต
จงกลับไป
ผู้ไม่มีอาลัย
จงขึ้นสู่ผาสูงนี้"
พาดบันไดแล้ว แม้ทั้ง
หมดขึ้นสู่ภูผานั้น
ผลักบันไดแล้ว
กระทำสมณธรรม
บรรดาพระภิกษุทั้ง ๗
พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัต
โดยล่วงไปราตรีเดียวเท่านั้น
จึงได้ใช้คุณวิเศษแห่งธรรม
นำน้ำเคี้ยวชำระฟันชื่อนาคลดามาจากสระอโนดาต
และนำบิณฑบาตรมาแต่อุตตรกุรุทวีป
กล่าวกะภิกษุที่เหลือ
๖ รูปว่า
"อาวุโสทั้งหลาย
พวกท่านเคี้ยวไม้ชำระฟันนี้ บ้วนปากแล้ว
จงฉันบิณฑบาตรนี้เถิด"
ภิกษุที่เหลือทั้ง ๖
ถามเถระผู้อรหันต์ว่า
"มาริสะ
ก่อนมาที่นี้ เราทำกติกากันไว้อย่างนี้หรือ?"
(มาริสะ..ท่านผู้เจริญ)
เถระผู้อรหันต์ตอบว่า
"อาวุโส ข้อนั้น
ไม่มีเลย"
ภิกษุทั้ง ๖
จึงกล่าวว่า
"ถ้าเช่นนั้น
แม้พวกเราที่เหลือนี้ ก็พึงยังคุณวิเศษให้บังเกิด
เหมือนท่าน
พวกเราจักนำมาซึ่งบิณฑบาตเพื่อบริโภคเอง"
อรหันต์ผู้เถระ เมื่อไม่เห็นหน้าที่ต่อไป
ได้ดับขันธปรินิพพานแล้ว
วันที่ ๒ พระอนุเถระ
ก็บรรลุ อนาคามีผล
(อนุเถระ คือ
ภิกษุพรรษาแก่รองลงมาจาก พระอรหันต์ที่บรรลุไปก่อนหน้า)
ก็กระทำบิณฑบาตรเช่นเดียวกับพระเถระอรหันต์
ก็ได้รับการปฏิเสธจากภิกษุที่เหลือ
๕ รูปว่า
"มาริสะ
เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้พวกเราก็จะยังคุณวิเศษให้บังเกิด
เหมือนท่านแล้ว
อาจเพื่อบริโภค ด้วยความเพียรแห่งบุรุษ
ของตนเอง
จึงจักบริโภค"
พระอนุเถระผู้อนาคามี
เมื่อไม่เห็นหน้าที่ตนอีกแล้ว
จึงดับขันธ์ไปบังเกิดแล้วในสุทธาวาสพรหมโลก
ภิกษุ ๕ รูปนอกนี้ ไม่อาจยังคุณวิเศษให้เกิดขึ้นได้
ผ่ายผอมแล้ว
ด้วยการอดอาหาร
พากันกระทำกาละในวันที่ ๗ นั้นเอง.....
บรรดาท่านเหล่านี้
ได้มาเกิดแล้วในสมัยพุทธกาล ได้แก่
คนหนึ่งได้เป็นราชาแห่งตักศิลา
พระนามว่า ปุกกุสาติ
คนหนึ่งได้เป็น
พระกุมารกัสสปะ
คนหนึ่งได้เป็น พระทารุจีริยะ
คนหนึ่งได้เป็น
พระทัพพมัลลบุตร
คนหนึ่งได้เป็น
ปริพาชกชื่อสภิยะ ภายหลังได้บวชบรรลุอรหัตผลแล้ว
เทวดาผู้เป็นสาโลหิตกันในกาลก่อนนี้
ก็คือภิกษุอนุเถระผู้อนาคามีที่ได้
บังเกิดแล้วแล้วในสุทธาวาสพรหมโลก
และเป็นผุ้ลงมาเตือนท่านพระทารุจีริยะที่ตั้งตนเป็น
พระอรหันต์ ณ.ท่าเรือ สุปปารกะในอินเดียใต้ จนได้สติแล้วรีบเร่งเดินทางจากอินเดียใต้มา
นครสาวัตถี
บรรลุทันพระพุทธเจ้าออกบิณฑบาตในตอนเช้า
(จากท่าเรือเดินสมุทรสุปปารกะในอินเดียใต้ถึงนครสาวัตถีมีระยะทาง
๒,๐๐๐ กิโลเมตร
ท่านทารุจีริยะใช้เวลาเดินทางด้วยเท้าเปล่าภายในคืนเดียว)
และท่านพระทารุจีริยะ
คือเอตทัคคะ..ผู้เลิศในการบรรลุเร็ว ในอสีตสาวก ด้วย
จากเรื่องพระทารุจีริยะ
สหัสวรรควรรณนา ธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๔
หมายเหตุผู้ถ่ายทอด; เนื้อหาอรรถกถาส่วนนี้ ตรงกับอัปทาน..คำบอกเล่าแห่ง
ท่านพระทัพพมัลลบุตร ซึ่งบรรยายถึงบรรยากาศของสังคมยุคพระศาสนาเสื่อมสูญเอาไว้
อย่างละเอียดอีกด้วย
Atthanij
Pokkasap
รายงานจากขอนแก่น
07:20 น.ขึ้น ๒ ค่ำ
เดือน ๑๑ วันอาทิตย์ที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๖
...เปรียบเทียบหลักฐานชั้นบาลี
แสดงว่าเข้าสู่ยุคเสื่อมสูญพระศาสนาแล้วเพราะท่านให้ดูที่เณรทั้งหลายไม่อยู่ในพระวินัย...
...ชั้นเณร คือ ศีล ๑๐ ยังไม่รอด..แล้วพระจะเหลืออะไร
พระครู...
...ท่านที่เหลือที่ยังไม่ได้บรรลุใจเด็ดมาก...ไม่ยอมกินข้าวน้ำกันเลย...แม้ชำระฟัน...
...ฝึกมาก่อนจนชำนาญแล้วครับ..เหลือแต่การตัดสินใจขั้นสุดท้าย....
๕ ท่านสุดท้าย
ไม่ผ่านการตัดสินใจครั้งสุดท้ายเพราะภาระกรรมที่ทำไว้กับพระพุทธเจ้าเราองค์ปัจจุบันครับ
เลยต้องรอ...
...ปฎิบัติก่อนบวช หรือว่าปฏิบัติมาหลายภพชาติ...ทั้งสองปฏิบัติน่ะล่ะ จนชาติภพเกือบสุดท้าย...แล้ว...เพราะจบจากชาติในสมัยศาสนาพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า
พุทธันดรที่ผ่านมานี้เอง (อายุผู้คน ๒๐,๐๐๐ ปี) ก็ไปอยู่สวรรค์
พอพระพุทธเจ้าโคตมะของชาวเราทุกวันนี้ตรัสรู้ ก็ลงมาเกิดเป็นชาติภพสุดท้ายร่วมพระพุทธเจ้าด้วย...
...ท่านทัพพมัลลบุตรนี่
ปรินิพพานเป็นพระสูตร ๒ พระสูตรใน ๘๔,๐๐๐
พระสูตรของพระไตรปิฎกด้วย
สง่างามมาก เหาะขึ้นฟ้า
เผาสรีระตัวเองเบื้องหน้าพระพุทธเจ้า ไม่มีควันเลย ทุกอย่างหายวับไปในอากาศหมด
(ไม่ได้อธิษฐานพระธาตุไว้)
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
No comments:
Post a Comment