Breaking Dharma PART 55...!!!
....
เปรียบเทียบความหมาย
"กำเนิดโลก"
ระหว่าง
การค้นพบของพระพุทธศาสนา กับวิทยาศาสตร์สัมพัทธภาพ
ท่านพระสมิทธิเถระ
ทูลถามพระพุทธเจ้า ว่า;
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ที่เรียกว่า โลก โลก ดังนี้
ด้วยเหตุเพียงเท่าใด
จึงเป็นโลก
หรือบัญญัติว่าโลก ?"
พระผู้มีพระภาค
ตรัสว่า ;
"ดูก่อน สมิทธิ
จักขุ รูป
จักขุวิญญาณ
ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วย
จักขุวิญญาณ มีอยู่ ณ.ที่ใด
โลก
หรือการบัญญัติว่าโลก ก็มีอยู่ ณ.ที่นั้น ..
โสต เสียง โสตวิญญาณ
ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วย
โสตวิญญาณ มีอยู่ ณที่ใด
โลก
หรือการบัญญัติว่า โลก ก็มีอยู่ ณ ที่นั้น ฯ
ฆานะ กลิ่น
ฆานวิญญาณ...ฯลฯ
ชิวหา รส
ชิวหาวิญญาณ..ฯลฯ
กาย โผฏฐัพพะ
กายวิญญาณ..ฯลฯ
ใจ ธัมมารมณ์
มโนวิญญาณ
ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วย
มโนวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด
โลก หรือการบัญญัติว่าโลก
ก็มีอยู่ ณ ที่นั้นฯ"
จาก ข้อ (๗๕)
สมิทธิสูตร สฬายตนวรรค สังยุตตนิกาย
ไตรปิฎก สยามรัฐ เล่ม
๑๘/๔๕
วิทยาศาสตร์สัมพัทธภาพ
;
ความพยายามที่จะแยกระหว่างลักษณะของความแท้จริง
และตีแผ่โครงสร้างพื้นฐานของเอกภพให้เป็นที่ประจักษ์นั้น
วิทยาศาสตร์จำต้องขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่า
"ความสับสนทางอายตนะ"
แต่ไอน์สไตน์ได้ชี้ให้เห็นว่า
ความงามของเอกภาพสุดยอดนั้น
"ตีแผ่ออกมาเป็นความหมายง่ายๆ
ไม่ได้"
ความคิดทางทฤษฎีนั้นเมื่อยิ่งใกลจากประสบการณ์
โดยอาศัยอายตนะของเราเพียงไร
ก็ยิ่งดูไร้ความหมายมากขึ้น
เพราะ ..
โลกที่มนุษย์เรารู้จักจริงๆได้นั้น
มีอยู่โลกเดียวคือ
โลกซึ่งสร้างขึ้นโดยอาศัยอายตนะของเรา
ถ้าหากลบความประทับใจทั้งหมดที่เราตีความจากอายตนะรับรู้
และที่ความทรงจำของเราสะสมไว้แล้ว
ก็จะไม่เหลืออะไรเลย
..... ..
โลกอันปรากฏให้เห็น
ได้แก่ โลกของแสงและสี
โลกของท้องฟ้าสีคราม
ใบไม้สีเขียว โลกของเสียงลมพัด
และเสียงน้ำไหล
โลกซึ่งสร้างขึ้นโดยอาศัยสรีระกริยาของอายตนะนั้น
เป็นโลกซึ่งมนุษย์ถูกกักขังอยู่เพราะธรรมชาติภายในของตัวมนุษย์เอง
ส่วนที่นักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาเรียกว่าโลกแห่งความแท้จริงนั้น
ไม่มีสี ไม่มีเสียง
และไม่อาจจับต้องได้
เป็นโลกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
คล้ายภูเขาน้ำแข็งในท้องทะเล
ซึ่งอยู่ใต้ระดับการรับรู้ของมนุษย์
แต่แท้ที่จริงนั้น
มีโครงสร้างสัญลักษณ์อันชัดเจน
ฯลฯ
จาก บทที่ ๑๕ เอกภพ
และ ดร.ไอน์ไตน์
(The
Univers and Dr.Einstein )
งานแปลของคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
พ.ศ.๒๕๑๖
หมายเหตุผู้ถ่ายทอด;
พระพุทธศาสนาก้าวหน้าไปไกลกว่าวิทยาศาสตร์แห่งคริสตศตวรรษที่
20
ตรงที่มี
เทคนิคการพัฒนา ระบบอายตนะจากสามัญไปสู่ อายตนะพ้นอันพิเศษ ที่เรียกว่า
*
อภิภายตนะ ๘* และ *กสิณายตนะ ๑๐*
เพื่อการพิสูจน์สำหรับประสบการณ์เพื่อการค้นพบ
แต่ไม่ถูกนำมาถ่ายทอดในการกล่าวสอนธรรมทั้งหลาย
เพราะมนุษย์ยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวิทยาศาสตร์ยุคล่าอาณานิคมอย่างงมงายโงหัวไม่ขึ้น
ทำให้ไม่สามารถเข้าใจได้ว่า
อภิภายตนะและกสิณายตนะเป็นเรื่องของอะไรกันแน่
ไม่ใช่ความล้าหลังของพระพุทธศาสนา
หากแต่เป็นความล้าหลังทางปัญญาของมนุษย์ผู้ถ่ายทอด
และผู้ไม่พยายามทำความเข้าใจ ต่างหาก
ที่สำคัญ..ทฤษฎีวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตของพระพุทธศาสนานั้น
กำหนดจากผลแห่งพลังงานที่เกิดในระบบประสาทสัมผัสของอายตนะทั้งสิ้นเรียกว่า
จิต และกรรม ร่วมกับ
อุตุ(สิ่งแวดล้อม) และอาหาร
ขณะที่ทฤษฎีวิวัฒนาการของชีววิทยาสมัยล่าอาณานิคมที่ยังยึดถือกันถึงปัจจุบัน
ยึดถือหลักสิ่งแวดล้อมกับอาหาร
เท่านั้น
เรื่องของผลแห่งพลังงานตามกฏอนุรักษกรรมแห่งพลังงาน (Law
of Conservetive of Energy)
ไม่สามารถนำมาประกอบได้โดยเจตนา
Atthanij
Pokkasap
ถ่ายทอด
06:00 น.แรม๕ ค่ำ
เดือน ๑๑ พฤหัสบดี ที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๖
...พวกปฏิเสธพระพุทธศาสนาคือพวกไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์....
หรือพวกที่คิดเอาว่าคำสอนในพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่ใครก็ทำความเข้าใจได้ง่ายๆเป็นเรื่องของพวกหลงตัวเองทั้งสิ้น.
...ธรรมที่รู้ได้โดย.
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, กายวิญญาณ
และมโนวิญญาณ คือโลกแห่งอนุภาค
ธรรมที่รู้ได้โดย..มโนวิญญาณธาตุที่เป็นอิสระไปจาก
จักขุวิญญาณ.โสตวิญญาณ,ฆานวิญญาณ,ชิวหาวิญญาณ
และมโนวิญญาณ ตามปกติ
คือโลกแห่งคลื่นและพลังงาน
เป็นที่มาของเหตุการณ์ที่พระพุทธศาสนาเรียกว่า
อภิภายตนะ
และกสิณายตนะ...และเป็นที่มาของอุตริมนุสสธรรมที่เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ทั้งหมดในบันทึกของพระพุทธศาสนาด้วย.
...โง่เรื่องวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าแห่งคริสตศตรรษที่
20 ไม่พอ
ปฏิเสธคำสอนอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา
อีก
ไม่น่าเกิดมาเป็นคน
นะ..เสียชาติเกิด ฝุด ฝุดเลย....
...คำสอนในพระพุทธศาสนาว่าด้วยปรากฏการณ์ความมีชีวิต
เป็นเรื่อง
ไบโอฟิสิคส์ (Biophysics) ว่าด้วยพลังงานระดับปรากฏการณ์พลังงานนิวเคลียร์ทั้งสิ้น....
...ประเพณีวัฒนธรรมที่ถือปฏิบัติในอารยธรรมโบราณที่เป็นสากลครั้งแรกของโลกที่เกิดที่ลุ่มแม่น้ำสินธุระหว่างพุทธศตวรรษที่
๑-๑๓ เป็นแบบจำลองมาจากปรากฏการณ์พลังงานนิวเคลียร์ ทั้งสิ้นอีกเหมือนกัน
คนที่กล่าวหาว่าประเพณีวัฒนธรรมโบราณเป็นเรื่องงมงาย...
แสดงถึง ความโง่
และการเกิดมาที่เสียชาติเกิดสิ้นดี ครับ
...สังคมที่ปล่อยให้พวกคนโง่ดังกล่าวประสบความสำเร็จมีหน้ามีตาอยู่ในระบบการศึกษาของชาติ
คือสังคมที่อ่อนแอและแตกแยกของประเทศชาติที่กำลังรอเวลาล่มสลายด้วย...
...มีท่านผู้เขียนบางท่านที่เป็นถึงอดีตนักวิทย์ไทยอ้างว่า...
การที่ไอสไตน์ค้นพบกฎธรรมชาติอันนำไปสู่การคิดค้นทำระเบิดปรามณูในเวลาต่อมานั้น...
เป็นเหตุให้ท่านต้องไปตกนรก...แล้วก็จะเกิดมาเพื่อคิดค้นพบแบบนี้วนไปซ้ำๆๆหลายๆๆชาติเลย...ฟังแล้วมึนมากกับท่านนี้...
...มึนก็เลิกฟัง เลิกเอามาคิดครับ นักวิทย์แบบนั้นพูดมั่วไปทั่ว
เอาวิทย์ เอาศาสนามารองรับความมั่วของตนเอง...มีคุณค่าต่อสังคมไทยมั้ย...
คนที่มีความรู้ขนาดนั้นแล้วไม่มีคุณค่าแก่สังคมตามความรู้ที่คิดว่ามีมากเนี่ย
พิพากษาได้เลยครับ...ว่า วิปลาศ ไปแล้ว....
...พูดด้วยความเชื่อว่า ไอน์สไตน์มีส่วนในการผลิตระเบิดปรมาณูฆ่าคน
นะสิ...พิพากษาได้งัย
รู้จักกฏแห่งกรรมในพลังงานนิวเคลียร์แค่ไหน...เด๋วผมก็มั่วบอกออกมามั่งหรอกว่า
ไอน์สไตน์เป็นเทวดาเพื่อนกะสตีฟ
จ็อบส์เท่านั้นเอง...เพราะคนที่ทิ้งระเบิดทำตามนโยรัฐสภาแห่งอเมริกา...
รู้จักแต่วิทยาศาสตร์
ไม่รู้กติกาสังคม ก็เป็น
พยาธิจากปากหมาในกะลาครอบครับ.
ประเทศไทยฉิบหายเพราะคนพวกนี้...พวกที่ไปมีความสำเร็จจากเมืองนอกมานี่แหละ
ตัวการฉิบหายของระบบสังคมความรู้ของชาติแผ่นดิน..บอกได้เลย..นักวิทย์ครับ..คุณนั่นแหละที่ตกนรกแล้ว
ชิว ชิว..
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
No comments:
Post a Comment