Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Saturday, January 7, 2017

44.Breaking Dharma PART 43





Breaking Dharma PART 43...!!!
....


วุ่นวายวันนี้ .ทังวัน พอแล้ว..
มาเพาะ.เมล็ดพันธุ์พืช แห่งธรรมกันเถอะ..!!!...


ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนพันธุ์อ้อยก็ดี
พันธุ์ข้าวสาลี ก็ดี
พันธุ์ผลจันทน์ ก็ดี
บุคคลหมกไว้ ในดินที่ชุ่มชื้น
รสดิน รสน้ำ ที่เมล็ดพันธุ์พืช ถือเอาทั้งหมด ย่อมเป็นไป เพื่อความเป็น ของหวาน น่ายินดี น่าชื่นใจ

ข้อนั้น เพราะเหตุไร ?
เพราะ พืช (มีเมล็ด) พันธุ์ดี ฉันใด

กายกรรม ที่สมาทานให้บริบูรณ์ตามทิฐิ ๑
วจีกรรม ที่สมาทานให้บริบูรณ์ ตามทิฐิ ๑
นโมกรรม ที่สมาทานให้บริบูรณ์ ตามทิฐิ ๑
เจตนา ๑
ความปรารถนา ๑
ความตั้งใจ ๑ สังขาร ๑
ของบุคคลผู้มีความเห็นชอบ
ธรรมทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นไป เพื่อ ผล ที่น่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าชอบใจ
เพื่อประโยชน์ เกื้อกูล เพื่อความสุข

ข้อนั้น เพราะเหตุไร
เพราะ ทิฐิ อุดมดี ฉันนั้น
เหมือนกันกับ พืช (มีเมล็ด) พันธุ์ดี นั้นแล ฯ


จาก ข้อ (๑๙๐) เอกธรรมแห่งบาลี เอกนิบาต อังคุตตรนิกาย
ไตรปิฎก สยามรัฐ เล่ม ๒๐ /๔๕



กายกรรม มี ๓ คือ ปาณาติบาต (ฆ่า,ทำลายชีวิต)อทินนาทาน (ลักทรัพยฺ์)
และ กาเมสุมิจฉาจาร (ประพฤติผิดในกาม)

วจีกรรม ๔ คือ มุสา (พูดโกหก), ปิสุณา (พูดส่อเสียดให้เกิดความแตกแยก), ผรุสวาท (พูดคำหยาบ)
และสัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ้อ)

มโนกรรม มี ๓ คือ อภิชฌา (เพ่งอยากได้ ,อยากเป็น)พยาบาท (คับแค้น ขัดเคือง คิดร้าย) 
และมิจฉาทิฏฐิ (มีความคิดเห็นผิดทำนองคลองธรรม)



Atthanij Pokkasap สาธยาย จาก ขอนแก่น
22:04 น. ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ วันพุธ ที่ ๑๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๖





...ปัจจุบัน..ชอบเอา มิจฉาทิฏฐิ ไปมั่วกับ อวิชชา...



...ยังมีอีกหลายคน  ไม่รู้จัก โสดาบันขวดเหล้าเดินได้..เจ้าสรกานิศากยบุตร...!!!
แล้วก็ เขมกะมาณพ ผู้อธิษฐานมาเกิดขอเป็นชู้เมียชาวบ้านชาวเมือง....
เหตุเพราะ พระ..ซึ่งมีหน้าที่โดยตรง...ไม่มีหลักในการศึกษาพระไตรปิฎก....หนักข้อถึงขนาดลบหลู่พระไตรปิฎกด้วย..

...เพราะเรา..ถูกครอบด้วยศาสนาพุทธแบบปิด...ทั้งที่เนื้อหาของพระพุทธศาสนาในพระไตรปิฎก..นั้น..ยิ่งๆๆกว่า ที่มหายานแบบจีนตีความเยอะมาก...
คือ ธรรมส่วนไหน ไม่ตรงกับความเชื่อของตัวอาจารย์  อาจารย์นั้นก็จะปิดบัง และบิดเบือน ..วิธีการของธรรมกาย มันก็เลียนแบบมาจาก อาจารย์ใหญ่ๆ ดังๆก่อนหน้าทั้งสิ้น...ไม่เกินกันครับ.

...พฤติกรรมพวกนักบวชที่ผ่านมาและกำลังเป็นอยู่ เกินกำลังจะวิจารณ์ และเกินกำลังด่าด้วยประการทั้งปวง...นอกจากสรุป..พฤติกรรมเลียนแบบตามๆกันมาทั้งสิ้น..เหยียบไหล่ตามกันขึ้นมาเป็นรุ่นๆ...ไม่เกินกันทั้งสิ้น...



...การละเมิดนักบวชผู้ทรงศีล  ไม่หนักหนาสาหัสแต่อย่างใด เพราะผู้ทรงศีลก็ลงนรกอเวจีได้

(ตัวอย่างพระกปิละ ..ผู้ทำศาสนาของพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เสื่อมสูญ  ต้องไปอยู่อเวจี พ้นโทษจากนรกอเวจี  มาเป็นปลา มีเกล็ดเป็นทอง..เพราะมีศีลอยู่..แต่ปากเหม็นเน่าไปเจ็ดคุ้งน้ำ แล้วก็ดิ้นฟาดศรีษะตนตายไปอเวจี  คืนอีก)

แต่การละเมิดผู้ทรงฌาน (ฌานวิสัย) หรือพระผู้ได้สมาธิตามเป็นจริง  นรกถามหาทันตาเห็น และเป็นกรรมติดตัว ไปทุกภพทุกชาติครับ

ผมจึงรับศรัทธาที่จะสอนเรื่องสมาธิ มากกว่า แต่ศีลที่เป็นฐานสมาธิตามเป็นจริง ก็จะเน้นด้วย
ไม่ใช่ศีลที่สมาทานแล้วไม่นำไปสู่การขวนขวายการฝึกสมาธิ..ศีลนั้นก็เปล่าประโยฃน์ ครับ

ที่วัดอุโมงค์  ผมเห็นเปรตพระ จีวรไหม้ไฟ หลายตน  มีกายเป็นสีทองสุกปลั่ง...นั่นเพราะทรงศีล
แต่ไม่ทรงสมาธิ....


...ฆราวาสผู้บรรลุ อนาคามี เช่นท่าน จิต คฤหบดี โยมคนแรกของท่านพระมหานามะ ๑ ใน ๕ ปัญจวัคคีย์   เคยถูกพระสุธรรมด่าแดกดันเข้าให้   ความทราบไปถึงพระพุทธเจ้า  พระศาสดา รับสั่งให้ไปขอขมาเลย...ไม่ไป.. 
พระศาสดาต้องตั้งคณะสงฆ์ขึ้น (กรรมาธิการพิจารณาความผิด) สวดระบุโทษ หมดวิหาร พระสุธรรมไปขอขมา...
ครั้งที่หนึ่ง  จิตคฤหบดีไม่อดโทษให้  จนทราบว่าเป็นรับสั่งจากพระศาสดา  จิตคฤหบดี จึงอดโทษให้...พระไม่เอามาถ่ายทอดเลย..

...เรื่องราวเหตุการณ์เหล่านี้ที่มีในพระไตรปิฎกสามารถนำมาเปรียบเทียบกับเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันได้...หลายอย่างจึงท้าทายศรัทธาและสติปัญญาของชาวพุทธโดยตรงเลย...

...เป็นหน้าที่พระ  มากกว่าเป็นหน้าที่ฆราวาส..แต่ สนง.องค์กรรัฐที่ผูกขาดอำนาจบริหารจัดการพระพุทธศาสนา 
ตรงนี้ เป็น ดร.ทางพุทธศาสตร์เต็ม สนง....ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับธรรมที่สอดคล้องเหตุการณ์

...จีนเรียก ซี่ ปัง เท้า..หัวสี่เหลี่ยม..โง่ดักดานมา ก็โง่ดักดานไป...ขวางความเจริญธรรมของสังคมด้วย...

สำหรับประเทศไทย...
ปริญญา เป็นใบให้มีสิทธิพิเศษมากกว่า คนไม่มีใบ ปริญญาเท่านั้น
ปริญญา ไม่ใช่ความรู้...



                                                                                                      ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

  

* Story & Photos by  Atthanij Pokkasap

No comments: