Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Tuesday, December 27, 2016

๙๐.Buddha-Dharma-Sangha-Science-Fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-Religion-Language-Math-Mind-Universe-Meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food=Good Life Health.



90.พระพุทธเจ้า - พระธรรม - พระสงฆ์ - วิทยาศาสตร์ - นิยาย - มวยไทย - ประวัติศาสตร์ - โหราศาสตร์ -ไสยศาสตร์ - ศาสนา - ภาษา - คณิตศาสตร์ - จิต - จักรวาล - สมาธิ - โยคะ - ดนตรี - ศิลปะ - เกษตรกรรม - สมุนไพร - อาหาร = สุขภาพและชีวิตที่ดีงาม






Atthanij Pokkasap  :




ข่าวสาร จาก พุทธตันตระ แห่งเอเชียกลาง(ตอน ๓ ซ้ำ,นี้ต้องเป็นตอน ๕)....
..... .....

การสอนให้เข้าถึง "สัญลักษณ์ ทั้ง ๔"


ขั้นที่ ๑. การทำความรู้ความเข้าใจเรื่อง "ภาชนะแห่งคำสอน" หมายถึง มัณฑละ (มณฑล) หรือ Mandala  เป็นการฝังจิตฝังใจกับเส้นสายทางเรขาคณิตของปรากฏการณ์ จุติ-อุบัติของจักรวาล...

...ธิเบตไม่มีรายละเอียดเรื่องนี้...แต่สยามมี  นั่นคือ "คัมภีร์ปถมัง" และ"คัมภีร์สุริยยาตร์ " เป็นคำนวณวิถีโคจรดวงดาวของระบบสุริยจักรวาลในจิต.....ธิเบตรู้แต่ตอนปลายที่ให้ทำลายกรอบนอกของวงแห่งแสงสว่างไปเรื่อยๆจนกว่าจะบรรลุใจกลางของแสงสว่าง.. 

...แสงสว่าง...ในขณะฝึกจิต จะเป็นแสงประกอบรูป ในแต่ละระดับไม่เหมือนกัน....ธิเบตรู้คำอธิบาย  แต่ไม่มีคัมภีร์พื้นฐานเกี่ยวกับแสงสว่าง (ทิวะ) ที่หมายถึง เทพ....สยามรู้แต่ภาคคำนวณ  ไม่รู้ความหมายของเทพ ตามลักษณะแสงสว่าง....
(จะมีรายละเอียดปลีกย่อยอธิบายอีกต่างหาก)  เมื่อให้อธิบายรายละเอียด  ธิเบตเลยเพี้ยนไป เป็น "กิริยาโยคะ" คือขั้นที่ ๑ นี้ ลามะอาวุโสที่จะพูดเรื่องนี้รู้เรื่อง คือ ลามะอาวุโสสายนิกาย กาศยะปะ และ ฆะยุดปะ เท่านั้น 
ญิงมะปะ(หมวกแดง) จะรู้แต่ที่สูงไปกว่านี้ 



ขั้นที่ ๒. จริยาตันตระ จะถูกนำไปผนวกกับขั้นที่ ๑ คือ กิริยาตันตระเป็นเรื่องของศีล (อธิปไตยศีล ๓ คือ โลกาธิปไตยศีล, อัตตาธิปไตยศีล และ ธรรมาธิปไตยศีล  ซึ่งทั้งสยามและธิเบตไม่รู้จักเลย   แต่ไปปรากฏอยู่ในคัมภีร์วิมุตติมรรคของศรีลังกา   แต่ศรีลังกาไม่รู้วิธีประยุกต์ใช้เลย!!!)  เป็นหน้าที่เกี่ยวกับสังคม..ของพระพุทธศาสนาดังที่ท่านมานิแห่งบาบิโลนสัมผัสเห็นอย่างลึกซึ้งสูงส่ง   นั่นคือหน้าที่พลเมืองและความรับผิดชอบต่อการเมืองการปกครอง  ที่มีแต่คณะภิกษุราชนิกูล ๘ ราชวงศ์แห่งวัชชีบุตรเท่านั้นที่รู้ลึกซึ้งแล้วถ่ายทอดสู่ลูกศิษย์ สายตรง!!! เท่านั้น    
วงศ์กษัตริยราชวงศ์ศกะ ราชวงศ์ปาร์เธียน และ ราชวงศ์พระร่วง  สามสายเท่านั้นที่ได้รับการถ่ายทอด   ทำให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ชี้นำการเมืองกษัตริย์โบราณนอกสายดังกล่าวนี้ออกไปแล้ว 

...ไม่มีใครรู้เลย...ว่าทำไมกฏมณเฑียรบาลของสยามแต่โบราณจึงต้องให้ราชาที่ขึ้นครองราชย์ต้องนับถือพระพุทธศาสนา เท่านั้น!!!

...เมื่อโง่ต่อมา ก็จงโง่ต่อไป....พระพุทธศาสนยิ่งใหญ่เกินกว่าจะให้ความโง่เหล่านี้มาทำลาย....!!!!



ขั้นที่ ๓. คือ โยคะตันตระ



ขั้นที่ ๔. คือ อนุตตรโยคะตันตระ





...ขั้นที่ ๓. และขั้นที่ ๔. เป็นเรื่องของ "สจิตฺตปริโยทปนํ ขั้นสูงของพระพุทธศาสนา" โดยตรง โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์...หลังจากสิ้นสมัยพุทธกาลมาแล้ว...พระพุทธศาสนาที่มีพระภิกษุบรรลุอรหันต์อย่างต่อเนื่อง  มีเพียงสายเดียวเท่านั้น คือ พระพุทธศาสนานิกายสรรวาสติวาท...
ท่านพระอุปคุต ท่านพระนาคเสน ท่านพระมาลัย เป็นอรหันต์ในสายนิกายสรรวาสติวาททั้งสิ้น....

...นับจากโยคะตันตระ ขั้นที่ ๓.มา...พระโยคาจารและสัทธาวิหาริกจะต้องรับรู้และทำความเข้าใจเรื่อง "แสงสว่าง" หรือ ทิวะ-เทวา อันเป็นคุณวิเศษแห่งองค์ธรรมที่พระศาสดาตรัสไว้ดีแล้ว   ตัวอย่าง...

พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์   เป็นรูปสัญลักษณ์ในแสงสว่างฝ่ายพระมหากรุณา...ฌานิพุทธ
พรหมวิหารธรรมสมาบัติขั้นรูปฌานที่ ๒ ของพระพุทธเจ้า

พระมัญชุศรีโพธิสัตว์     เป็นรูปสัญญลักษณ์...พระมหาปัญญา

พระวัชรปาณิโพธิสัตว์    เป็นรูปสัญลักษณ์...พระมหาพลัง(นารายณพล)

พระวัชรสัตว์โพธิสัตว์    เป็นรูปสัญลักษณ์...พระมหาวิสุทธิคุณและ...

พระตาราโพธิสัตว์        เป็นรูปสัญลักษณ์...โพธิกิริยา หรือ สัมโพธิญาณ....


...ผม ""ผู้ถ่ายทอดนี้   จัดอยู่ในส่วนของผู้เกี่ยวข้องกับ  
ภาคอวตารของ พระตาราโพธิสัตว์.....ครับ!!!



...รายละเอียดในภาคปฏิบัติของพุทธตันตระ  ที่รวมหลักฐานทั้งจากธิเบต สยามและศรีลังกา    โดยมีพระไตรปิฎกเถรวาทฉบับหลวงของสยามรัฐเป็นกรอบแห่งการเปรียบเทียบทยอยถ่ายทอดให้กันและกันแล้วนะครับ...แสงสว่างและรูปนี่  พระพุทธเจ้าท่านพูดหัวข้อไว้ให้กับท่านพระอนุรุทธะ, ท่านพระภัททิยะและท่านพระกิมพิละ ตอนปลีกตัวไปจำพรรษาอยู่กะช้างปาลิไลยกะกับลิง...แล้วเสด็จผ่านคณะท่านพระอนุรุทธะที่กำลังมุมานะเร่งสมณธรรมสายตาทิพย์กันอยู่...ขั้นตอนการเห็น-สัมผัสรู้-สัมผัสเห็นนี้แหละ    ที่ถูกนำไปขยายรายละเอียดในพุทธตันตระ...


...พระโพธิสัตว์คิอบุคลาฐิษฐาน พระวิสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ของพระพุทธเจ้า ครับ   เป็นรูปสัญลักษณ์ขององค์ธรรมแต่ละขั้นๆ   ที่เมื่อปฏิบัติเข้าสู่กระแสธรรมจริงๆจะต้องเผชิญ...อย่างพระพุทธเจ้าก่อนได้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ   ยังต้องเผชิญศึกกับพญามาร    แล้วมีเทพธิดาวสุนทรา(แม่ธรณี) ปรากฏตัวเป็นประจักษ์พยานการเผชิญหน้าเลย   ซึ่งเป็นการเล่าอย่างรวบรัดมาก...ขั้นตอนของจิตในกระแสธรรมละเอียดยิบเหมือนภาพฝันเนื้อหามหาศาลแต่เกิดขึ้นเพียงไม่ถึงเสี้ยววินาที ..ที่เราจำกันไม่ค่อยได้   ก็เพราะเวลาสั้นมาก...


เป็นองค์ธรรมตามลำดับวิถีมรรค  ที่ก่อนจะไปสิ้นสุดที่  "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระตถาคต" เป็นปริโยสานน่ะครับ....บทนี้ ทำให้ปรากฏครั้งแรกโดย อรหันต์เยาวชน...ท่านพระวักกลิ แล้วตามมาอีกหลายร้อยหลายพันท่าน...ครับ     ในสายพุทธตันตระ อธิบายเหมือนเราเดินทางไกลแล้วต้องผ่านเมืองนั้นบ้านนี้...องค์ฑากิณี ยิดัม(สูงสุด คือเหวัชระ) และพระโพธิสัตว์นับหมื่นพระองค์ล้วนอยู่ในเส้นทางปฏิบัติธรรม (ที่ถูกต้อง) นี้ทั้งสิ้น    ปฏิบัติผิดก็ไม่เห็น.....เป็นประสบการณ์ยืนยันธรรมจริงๆที่พุทธตันตระได้สาระส่วนนี้ไปน่ะครับ..


...เหมวัชระ ทีปรากฏในรูปลักษณ์ดุร้าย   ผมถนัดองค์นี้มาก  เพราะได้มาแล้วปรากฏ...ในขณะฝึกหนัก

...พวกจริตโทสะ ..ธรรมะสายกราดเกรี้ยวนี้...จะมาในทางสายนี้ทั้งหมด....สายราคะจริต  โมหะจริต   รับไม่ไหวหรอก...

...อย่าดูถูกวาสนาตัวเอง   การนั่งสมาธิมีขั้นตอนฝึกอยู่...นั่งนานไม่นานอยู่ที่เทคนิคที่เหมาะกับจริต ครับ...รักที่จะเฝ้ารอใครสักคน  ยังทนนั่งท่าเดียวเป็นวันเลย..สมาธิถ้าถูกจริต   ก็นั่งได้เป็นวันเป็นคืนเหมือนกัน...




                                                                                  ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐



* Story & Photos by  Atthanij Pokkasap


No comments: