Breaking Dharma PART 16...!!!
....
"การอธิษฐานดีๆ
ที่เป็นประโยชน์ และ..วิธี ทำบุญ ให้สำเร็จ ตามปรารถนา."
ดูวาทะ
ที่ท่าน (ชาวพุทธโบราณ) วิพากษ์ มนุษย์ในโลกนี้เอาไว้...ก่อนครับ!!!
"ธรรมดาสัตว์เหล่านี้
ในเวลาได้รับความสุข ไม่ทราบเลยแม้ความที่ภิกษุทั้งหลาย มีอยู่ ครั้นพอถูก
ทุกข์ครอบงำ จึงปรารถนาจะไป วิหาร"
(ความหมาย; เวลาสุขสนุกเพลิดเพลิน ไม่เคยสนใจ เรื่องพระ เรื่องวัด เรื่องศาสนา
แต่พอมีทุกข์ขึ้นมา เที่ยววิ่งหาวัด....ชัดเจนนะครับ แสดงว่าเป็นเรื่องเก่าๆมีมานานดึกดำบรรพ์เต๊ม..ทีแล้ว แล้วอย่าไปตีความหมายว่าท่านจับผิดคนอีกซะล่ะ...)
(ทานที่เลือกให้
พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญ เป็นธรรมบท);
"บุคคลควรเลือกให้ทาน
ในเขตที่ตนให้แล้ว จะมีผลมาก
เพราะการเลือกให้
พระสุคตทรงสรรเสริญแล้ว
ทานที่ให้ในท่านผู้เป็นทักขิไณยบุคคลในชีวโลกนี้
เป็นของมีผลมาก
เหมือนพืชที่หว่านในนาดี ฉะนั้น"
(และ
ธรรมบทคาถา ต่อไป จะเป็น "พุทธตรรกะ"
ที่พระพุทธองค์ตรัสอธิบายไว้ดีแล้ว)...
"นาทั้งหลาย
มีหญ้าเป็นโทษ
หมู่สัตว์นี้
ก็มีราคะเป็นโทษ
ฉะนั้นแล
ทานที่ให้แก่ท่านผู้ปราศจากราคะ จึงเป็นของมีผลมาก
..นาทั้งหลาย
มีหญ้าเป็นโทษ
หมู่สัตว์นี้ ก็มีโทสะเป็นโทษ
ฉะนั้นแล
ทานที่ให้ในท่านผู้ปราศจากโทสะ จึงเป็นของมีผลมาก
..นาทั้งหลาย
มีหญ้าเป็นโทษ
หมู่สัตว์นี้
ก็มีโมหะเป็นโทษ
ฉะนั้นแล
ทานที่ให้ในท่านผู้ปราศจากโมหะ จึงเป็นของมีผลมาก
..นาทั้งหลาย
มีหญ้าเป็นโทษ
หมู่สัตว์นี้
ก็มีความอยากเป็นโทษ
ฉะนั้นแล
ทานที่ให้ในท่านผู้ปราศจากความอยาก จึงเป็นของมีผลมาก."
(พุทธตรรกะนี้คือความเป็นเหตุเป็นผลที่พระพุทธศาสนาต้องสร้าง
อาหุเนยยบุคคล
ปาหุเนยยบุคคลและทักขิไณยบุคคล ป้อนสู่สังคมมนุษย์...
เห็นความเกี่ยวพันในภาระหน้าที่ของพระพุทธศาสนากับสังคมมนุษย์กันแล้วนะครับ...)
(คาถาธรรมบทนี้เป็นเรื่องราวเกิดขึ้น ตอนไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อังกุรเทพบุตร
อดีตชาติเป็นมนุษย์อยู่นครกลางทะเลทราย เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ต้องอยู่ไกลมากทั้งที่ทำบุญใหญ่ตลอดชีวิต แต่ศักดิ์แห่งทิพยกายไม่เจิดจ้า..เลยเข้าเฝ้าอยู่ห่างมากอย่างเจียมองค์
ขณะที่อินทกเทพบุตรสมัยที่เป็นมนุษย์ ใส่บาตรเพียงทัพพีเดียวกับท่านพระอนุรุทธะ...รัศมีทิพยการรุ่งโรจน์แทบเสมอท้าวสักกะเทวราช
...มูลหลักฐานนี้อยู่ใน
เปตวัตถุ ขุททกนิกาย ไตรปิฎก เล่ม ๒๖/๔๕ ครับ ข้อมูลคำสอนมีที่มาที่ไปถักสานกันหลายชั้นแน่นหนามากครับ.)
...ยังมี
"คุณภาพทาน" ที่ก่อให้เกิดภพภูมิสวรรค์ชั้นต่างๆอีก ตามความเชื่อ ความยึดมั่นถือมั่นที่มีคุณภาพระดับต่างๆอีก
เรียกว่า "ทานสูตร" แสดงต่อท่านพระสารีบุตรไว้ครับ.
…แม้ในสมัยพุทธกาล จะมีผู้ทำบุญแล้วได้อานิสงส์ใหญ่ทันตาเห็น บันทึกไว้เป็นหลักฐานในคัมภีร์เพียง ๗
ท่านก็ตาม...แต่จากพระคาถาธรรมบท...ทักขิไณยบุคคล ท่านแบกภาระทั้งสังคมอารยันนะครับ
ขึ้นเป็นเบรคที่ ๑๗
ละกัน...
…การอดข้าวเย็นเป็น "โภชเนมัตตัญญุตา" สูงกว่าศีลปกติไปอีก ๓ ขั้น...ไม่รู้ขั้นตอนฝึก ทำไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรนะ มีลำดับอย่างนี้…
…ศรัทธา>>> ศีล>>> สันโดษ>>> อินทรียสังวร>>>
โภชเนมัตตัญญุตา>>>ชาคริยานุโยค>>>
โยนิโสมนสิการ>>> วิเวก (สัมมาสมาธิ)
...การเริ่มต้นที่ถูกต้องตะหาก
เป็นการเริ่มต้นที่ดี...แต่ช่างเถิด..ลูกวัวตัวน้อย (มรรคสมังคี) แม้เกิดใหม่ไร้เดียงสา ก็ยังวิ่งตามแม่โค..และแม่โคก็เดินตามจ่าฝูง....เหมือนผู้รู้ธรรม ลูกวัวตัวน้อยวิ่งตามฝูง อย่างน้อยก็ไม่หลงฝูงละกัน
...เอ้า...อันที่ฝึกได้ทุกลมหายใจ ก๊อ...ลมหายใจเข้า+ลมหายใจออก งั้ย...หัดอยู่กะเค้าอย่างตั้งใจซะมั่ง ไม่ใช่ให้เค้าอยู่กะเราตามยะถากรรม (ของอารมณ์) เอาเค้ามาจัดระเบียบทุกครั้งที่คิดได้ว่า....เฮ้ย!
เฮ้ย! นี่เรากำลังหายใจอยู่นี่หว่า
...หายใจให้มีระเบียบเข้มแข็งกว่าที่ควรเป็นนะ...(หายใจดี
คือ มีระเบียบ สม่ำเสมอ นุ่นนวล ประณีต ลึกยาว...ต่อเนื่อง ทำคุณภาพพวกนี้ให้ได้..)
...ลมหายใจที่หมั่นใช้
สัมปชัญญะ..ความรู้สึกตัวช่วยเขาทำหน้าที่หายใจ..ให้เป็นภาระและกิจวัตรประจำวัน แล้ว ญาณและสติชั้นสูงยิ่งๆขึ้น ก๊อจะพัฒนาตามมาเอง...นี่แหละ
พื้นฐานสุดๆละ...
…ตานี้ เมื่อหัดหายใจละเอียดขึ้น ขั้นพื้นฐานคือ
สมองได้รับออกซิเจนเต็มที่กว่าแต่ก่อน..ก็มีพลังที่จะคิดจะรู้เพิ่มมากขึ้น กิจกรรมต่างๆก็เพิ่มตามมา (พลังอึดในการทำงานเพิ่มสูงขึ้น)
เห็นคุณค่าเมื่อไหร่ ก็ยิ่งอยากทำมากขึ้น เพราะลมหายใจยิ่งประณีต (ลึกแผ่วยาว สม่ำเสมอต่อเนื่อง) อารมณ์ก็เริ่มนิ่งมากขึ้น จิตที่ทรงพลังก๊อออ. จะก่อตัวเป็นที่มาของเหตุการณ์ที่ท่านเรียกว่า
สมาธิ....
...หยุดให้อาหารที่ปรุงแต่งสังขาร
เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้กระบวนการทำงานภายในของเราเองทั้งหมด...พูดง่ายแต่การเรียนรู้...ไม่ง่ายเลย...
...ต้องทวนทั้งกระแสโลก
และกระแสอารมณ์เดิมของเราเองด้วยครับ...หนักนะ..แต่ถ้าปรารถนาดีต่อตัวเองจริง ก็ต้องทำ...
…อันนั้นเป็นความเชื่อในอุดมคตแบบไทย-ไทยนะ...พระพุทธศาสนา ท่านไม่ทิ้งโลก ไม่ทิ้งธรรม ธรรมต้องคู่โลก โลกต้องคู่ธรรม
…ขนาดท่านพระองคุลีมาล ท่านก็อยู่ในสังคมที่ท่านฆ่าลูกเมียญาติพี่น้องเขาในนครสาวัตถีนั่นเอง
...ชดใช้กรรมสิบกว่าพรรษา
จนผู้คนชาวเมืองเลิกกลัวท่านหมดแล้ว
ท่านก็บรรลุพระอรหันต์
…ฝากผลงาน...องคุลีมาลปริตร อธิษฐานให้ให้เด็กเกิดใหม่คลอดง่าย
แล้วก็ปรินิพพาน (การชดใช้กรรม
ทำให้ท่านสุขภาพทรุดอย่างรวดเร็ว แต่ก็อึดอยู่จนสำเร็จอรหันต์)...
...แยกแยะความรู้สึกตามความผูกพันในบุญในทาน แล้วกล่าวเอาเองครับ...ปกติแล้วที่เห็นในพระสูตร
...ท่านมีอธิษฐานแต่ว่า ขอได้รู้ได้ถึงธรรมที่ท่าน (ทักขิไณยบุคคลนั้น) บรรลุ
ท่านก็อนุโมทนาว่า จงเป็นเช่นนั้นเถิด
และท่านที่ขอไว้ยิ่งใหญ่ที่สุดก็เป็น ท่านโชติกะเศรษฐี นั่นขอถึง มนุษยสมบัติ, ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติ (สมบัติ ๓)
เจาะจงอย่างนี้เลย...แล้วผ่านพระพุทธเจ้าหลายพระองค์เสียด้วย...ครับ.
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
No comments:
Post a Comment