Breaking Dharma PART 19...!!!
....
เรื่อง
สายปฏิบัติการโยคะของพระพุทธศาสนา ครับ.
จากขั้นตอนการฝึก
ในข้อ (๙๔) คณกโมคคัลลานสูตร อุปริปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย พระไตรปิฎก เล่ม ๑๔/๔๕ ท่านลำดับไว้อย่างนี่....
๐
สัทธา >
ศีล > สันโดษ > อินทรียสังวร
> โภชเนมัตตัญญุตา > ชาคริยานุโยค >
โยนิโสมนสิการ > วิเวก ๐
ตอบว่า
สายปฏิบัติการนั้นไปแยกที่ระดับ *
โยนิโสมนสิการ * ครับ !!!
(นิพพานที่เป็นสมาบัตินิโรธ
มี ๔ ระดับ สมาบัติ ;
๑.เนกขัมมสุขสมาบัติ
(ดับวิญญาณที่ ฌาน ๑)
๒.วิเวกสุขสมาบัติ (ดับวิญญาณที่ ฌาน ๒ ที่มาของ เจ้าแม่กวนอิม, พระอวโลกิเตศวร ฯลฯ)
๓.สมาธิสุขสมาบัติ
(ดับวิญญาณที่ ฌาน ๓)
๔.สัมโพธิสุขสมาบัติ
(ดับวิญญาณที่ ฌาน ๔)
(ระดับ
นิโรธสมาบัติ ๑. ถึง ๓. นั้น เป็นของเหล่า
อนาคามี)
๐
ปฏิบัติการตอน อินทรียสังวร ที่แปลกันทั่วไปว่า
สำรวมอินทรีย์นั้น คือการฝึกแยกกลุ่มคลื่นอายตนะทั้ง ๕ ออกจากการเข้ามา มิกซ์ ของคลื่นอายตนะที่ ๖
(ที่มาของ เห็น สักแต่ว่าเห็น...แต่ยังควบคุมคลื่น
Vibrations ของอายตนะไม่ได้ ต้องไปจัดระเบียบลมหายใจก่อน)
๐
โภชเนมัตตัญญุตา นั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่จัดลมหายใจให้เป็นระเบียบ
คือ
ลึก ยาว หยาบ(การหายใจปกติ ถือว่าหยาบมาก) แต่สม่ำเสมอ
...เมื่อสามารถจัดระเบียบลมหายใจหยาบปกติให้ยาวสม่ำเสมอได้ ระบบการย่อยอาหารและการทำงานของลำไส้ ย่อมมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ครับ.
…(ลมหายใจอย่าไปกำหนดอุปาทานว่า จะต้องหายใจลึก เท่านั้นเท่านี้ เพราะลมหายใจหยาบ จะมีที่สุดระดับหนึ่ง ลมหายใจที่ละเอียดขึ้นมาก็จะมีที่สุดของความลึกอีกระดับหนึ่ง เป็นระดับความลึกที่สัมพันธ์กับระดับความละเอียด
ครับ...
การไปกำหนด
ก็คือการสร้างอุปาทาน...หลอกตัวเองตั้งแต่เริ่มต้น...บ้าครับ!!!)
๐
ชาคริยานุโยค ที่หมายถึง
การประกอบการตื่นให้มาก คือ
นอนเพียงไม่เกินวันละ ๔ ชม. (๒๒.๐๐ น.-๐๒.๐๐ น) จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อ ลมหายใจเป็นระเบียบ คือ ลึก ยาว ละเอียดปานกลาง คือ
อย่างน้อยก็ละเอียดกว่าขั้นแรกๆขึ้นมา (อันที่เราจะสามารถทำให้ละเอียดที่สุดขณะปัจจุบันน่ะล่ะครับ...แต่ยังไม่ใช่ละเอียดสุดท้าย...เรายังจะต้องพัฒนาต่อไป..)
…คำอธิบาย คือ ลมหายใจที่ละเอียด
ลึก ดึงอากาศที่มีออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายเพิ่มขึ้น
ในปริมาณอย่างน้อย ก็เท่ากับที่เราเคยใช้พลังงาน
"มากที่สุด" ในตอนตื่นทำกิจกรรมต่างๆ ประจำวัน แต่เมื่อลมหายใจละเอียดมากๆ ออกซิเจนจะถูกดึงไปใช้มายมายกว่าหายใจหยาบหลายๆเท่า ทำให้ร่างกายตื่นตัวกระฉับกระเฉง...แทบไม่ต้องหลับนอนก็อยู่ได้....
๐
ก่อนสิ้นสุด ชาคริยานุโยค ไปสู่
สัมมาสมาธิ (ปฐมฌาน > จตุตถฌาน) เป็นเรื่องของการเฟ้นหาเทคนิคเฉพาะตัว ตามวาสนาที่สั่งสมมา เป็นที่มาของการเกิดสายปฏิบัติการ (นิกาย)
มีเหตุ ดังนี้ ;
๐
จิตมั่นคงดี ใน "วัตถุ" ใด สติย่อมปรากฏดีใน
"วัตถุ" นั้น
...สติปรากฏดีใน
"วัตถุ" ใด จิตย่อมมั่นคงดีใน
"วัตถุ" นั้น
ลมหายใจเข้า+ลมหายใจออก
ชื่อว่า "วัตถุ" เป็น "กายสังขาร"
จับใจความวรรคนี้ให้ดีๆ
นะครับ...
"
สติ สัมพันธ์กับ จิต ดังนี้ ชื่อว่า
"รู้เนื่องด้วยกาย (กายานุปัสสนา)"
จาก
ข้อ (๓๘๘) มหานิทเทส ขุททกนิกาย พระไตรปิฎก เล่ม ๒๙/๔๕
หมายความว่า
ถ้ายังเชื่อมโยง สติ ให้กับกับ จิต
อย่างมั่นคงไม่ได้
คุณไม่มีโอกาสเกิด
"ความรู้" ได้เลย และ...
วัตถุ
ที่เป็นตัวเชื่อมโยง สติกับจิต ก็คือ
"ลมหายใจเข้า+ลมหายใจออก" ครับ
พวกที่สอนกันทุกวันนี้
เหยียบข้ามวัตถุเชื่อมโยงทั้งหมดทุกสำนักครับ!!!
เริ่มต้นก็บังคับจิตกันให้รู้...เห็นมั้ยครับ อุปาทานบ้าๆทั้งนั้น...
และ...สำคัญมาก
ความลึกของลมหายใจนั้น ตัวกำหนด คือ ความละเอียด ครับ
ยิ่งละเอียดเท่าใดก็ยิ่งลึกเท่านั้น...จะมากำหนดเองแบบลุแก่อำนาจอย่างที่สอนกันทั่วไปไม่ได้ครับ...
กำหนดเอาเองอย่างนั้น โรคเรื้อรังสารพัดถามหาในบั้นปลาย ไม่มีใครตายดีครับ. เพราะ...
บทสักกัตวา
ท่านแสดงไว้ชัดเจน ว่า
สังกัตวา
สังฆรัตนัง โอสถัง อุตตมัง
วรัง
...พระสงฆ์
คือ ยาอันประเสริฐสูงสุด
อาหุเนยยัง
ปาหุเนยยัง สังฆเตเชนะ
...ด้วยเดชแห่งการถึงสงฆ์ผู้เป็น
ผู้ควรกราบไหว้ ผู้ควรเข้าใกล้ชิด
โสตถินา
นัสสันตุปปทวา
…ขอความสวัสดี ขอความปราศจากไปจาก..
สัพเพ
โรคา วูปสเมนตุ เต
...โรคทั้งหมาย
พึงมีแก่ ท่านทั้งหลายฯ
สรุป
คือ ถึงพุทธ หมดทุกข์ ถึงธรรม
หมดภัย และถึงสงฆ์ หมดโรค ครับ
แล้วพระสงฆ์ป่วยเป็นสารพัดโรคก่อนตาย
คืออะไร? ...ผู้ทำลายบทสวดบทนี้นะสิครับ
ขอความเจริญในอริยธรรมตามเป็นจริง จงมีแก่ท่านผู้สนใจและไต่ถามมา ทั้งอยากรู้ได้อ่านตาม ทั่วหน้ากัน เทอญ.
Atthanij Pokkasap
๙.๒๐
น. วัน พุธ ที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๖
...อ่านให้ละเอียด
ความจริงนัยะระดับนี้ท่านถือเป็น
ฆยุคปะ...นิกายกระซิบ...ไม่เปิดเผยทั่วไป ผมพยายามเลี่ยงจารีตโบราณบางอย่างแบบศรีธนญชัย เพื่อเปิดเผยความลับของพระพุทธศาสนานะครับ...
…สติ ที่ฝึกมาหนักมาก...ที่ถ่ายทอดออกมาบทนี้ เป็นประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ...รู้มั้ย ปี ๒๕๒๓ บวชวันที่ ๓๑ มีนา ออกมาจากอุโบสถปั๊บ ท่านพระอุปัชฌาย์
ท่านรองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดสันป่าข่อยสมัยนั้น..ท่านลงมานั่งข้างๆคุยด้วย...ไม่ยอมนั่งสูงกว่า อีกท่านนึง เมื่อได้มีโอกาสพบกัน คือ หลวงปู่ฝั้น เค้ายังไม่ได้พรรษาเลย...หลวงปู่ฝั้นไม่ยอมนั่งสูงกว่า
ลงมานั่งข้างๆคุยกัน...บอกว่า อย่่าสึกเน้อๆๆ...
...ในเรื่องของท่านพระลกุณฏกภัททิยะเถระ (เอตทัคคะผู้เลิศในเสียงไพเราะ...แต่ตัวกลมเล็กๆเหมือนเณรน้อยน่ารัก..เพราะอดีตชาติเป็นมหาราชากีกิ
ผู้สั่งลดขนาดเจดีย์ทองพระกัสสปะทศพลจาก
๗ โยชน์ให้เหลือโยชน์เดียว) มีพระพุทธวจนะตรัสว่า นี้คืออรหันต์ผู้ฆ่าพ่อ (อัสมิมานะ) ผู้ฆ่าแม่ (ตัณหา) ผู้สังหารพระราชทั้งสอง (สัสสตทิฏฐิ กับ
อุทเฉจทิฏฐิ) และทำลายแว่นแคว้น (อายตนะทั้ง ๖)...
…หลวงปู่ฝั้น ท่านเกรงใจเค้าเกินกว่าใครจะคิด
ท่านต่างหากที่ถามธรรมปฏิบัติกะเค้า....
…ในกลางพรรษาที่ ๒ เดือนสิงหาคม
๒๕๒๓ ถอดกายทิพย์ออกมาได้แล้วได้ยินเสียงจากหัวใจว่า
กยิราถะ กยิราถะ กยิราถะ พร้อมทั้งเห็นบรรยากาศทิพย์ด้วยกายเนื้อ
เสียงจีวร
เสียดสีกันเป็นเสียงกังสดาลสวรรค์ เพราะวังเวงมาก งัย....เล่าให้ฟังแล้ว...เกิดขึ้นหลังจากรู้ศักยภาพความเพียรที่ท่องปาฏิโมกข์
๗ วัน ๗ คืนได้แล้ว...เลยลุยต่อ
...ตอนนี้เสื่อมหมดแล้ว...^ ^
เรื่องดนตรีสวรรค์ เนี่ย ถ้าเป็นชั้น
ฉกามาพจรภูมิ...จะเป็นพิณพาทย์ดีดสีตีเป่า
ครับ ถ้าเป็นชั้นพรหม...จะมีแต่เสียงกังสดาล...ไพเราะวิเวก
มากครับ....
...กำลังพยายามอยู่
ถ้าคิดเป็นภาระกู้ร่มพระบรมโพธิสมภาร...ซึ่งเป็นศักยภาพเดียวเท่านั้นที่จะบรรดาลให้ร่มพระบรมโพธิสมภารกลับคืนมาครบ...
…ใช่..ทบทวนสัญญาที่เคยได้....ให้ได้...เหมือนลูกศิษย์ของ ท่านพระมหากัสสปะ
รูปหนึ่ง ได้ฌานแล้วก็เสื่อม สลับไปมาหลายครั้ง เลยลาสิกขาไปเป็นเขยลุง…แต่เพราะบวชนานทำอะไรไม่เป็น
ตระกูลลุงก็เลยไล่ตะเพิดไปอยู่กะพวกโจร ก็ไม่ทันโจรเพราะบวชนานอีกนั่นแหละ
ราชบุรุษจับตัวไปประหาร ท่านพระมหากัสสปะเถระเจ้ากำลังออกบิณฑบาตเลยแวะไปให้เห็น...เห็นอาจารย์ก็เลยทวนฌานสมาบัติขึ้นได้
ดาบที่ประหารม้วนลุ่ยหมดก็สะบัดเหาะขึ้นฟ้า เข้าบวชแล้วนิพพาน...
...ฌานเป็นผลสำเร็จมาจาก
ประสิทธิภาพสูงสุดของลมหายใจ....ลมหายใจที่สม่ำเสมอ
ต่อเนื่องไม่เพียงพอฌานก็ต้องเสื่อม
...มีพระอรหันต์ที่สุขภาพไม่ดี
๒ ท่าน ( ๒ ใน ๓ สมสีสี) ท่านหนึ่งพอบรรลุเข้านิพพานปุ๊ปเอามีดเชือดคอตัวเองตายทันควัน...อีกท่านดึงลมหายใจมาใช้จนสุด พอบรรลุนิพพานก็ขาดใจตายทันที...เคยนำมาเล่าไปแล้ว
๓ องค์อรหันตสมสีสี...เดี๋ยวฉายซ้ำก็ได้...
…ครับ..ก็ขนาดนิพพานสมาบัติที่มี ๔ ระดับ พวกไปถึงนิพพานสมัยนี้ยังไม่รู้เรื่องกันเลย ท้ามาเลยนะครับ ว่าอยู่พระสูตรไหน
...Vibrations จากอายตนะทั้ง ๖ ระบบที่มาของ พลังงานต้นกำเนิดกฏแห่งกรรม ยังไม่รู้เรื่องเลย ดันมามีอายตนะนิพพาน...
…นิพพานสมาบัติอยู่ในพระสูตรครับ…มีพระพุทธจริยวัตรแสดงไว้หลายตอนที่ยืนยันการรู้การเห็นของพระอรหันต์สมัยพุทธกาล...อยู่ในพระสูตรในสุตตันตปิฎกเต็มไปหมดครับว่า…
...สาวกผู้อรหันต์ของเราเห็นอย่างไร รู้อย่างไร แม้เราตถาคตพึงกล่าว ก็ย่อมกล่าวตามสาวกผู้เป็นขีณาสพแห่งเราได้กล่าวไปแล้วเช่นนั้น
เหมือนกัน. ครับ เยอะมาก...ผมจึงแอนตี้มหายานในเรื่องที่โพธิสัตว์ฉลาดกว่าพระอรหันต์เลย แต่พอเราดูเจตนาเขาที่ต้องการหักล้างอรหันต์มั่วซั่วของหินยาน ก็โอเคนะ...
…หักล้างกันด้วยอำนาจฌานสมาบัติเลยดีกว่า ไม่ต้องเถียงให้เสียเวลา...กลับไปสู่ยุคท่านโพธิธรรมเหยียบเมืองจีน
เดียวกันเลย...
...ปัทมปาละรับภาระเผยแผ่พุทธธรรมที่เอเชียกลาง...ท่ามกลางกลิ่นไอสงครามครับ...ไม่มีฤทธิ์ อย่ามาแสดงว่ารู้ธรรมะ ครับ แขกเอาดาบโค้งสะบั้นคอทันที...
...ปริศนาเรื่อง
"ฌานวิสัย" นี้ พวกถึงธรรมจะรู้ดีที่สุดครับ…ผมจึงอธิบายการ..ละเมียดอารมณ์โกรธ (โทสะ) เข้าไปเป็นฐานหนึ่งของลมหายใจที่ละเอียดอ่อนรองรับฌาน
งัยครับ...
…ธรรมะเบรค ที่ 19
นี้...ศึกษาให้หลายๆรอบนะครับ..เป็นประสบการณ์ล้วนๆตลอดชีวิต ๕๑ ปี
ของผม (เริ่มนับที่ ๙ ขวบที่จับวิสุทธิมรรค) เลยทีเดียว...พระผู้ใหญ่ที่พอมีเซนซ์ จับรังสีผมได้...ท่านไม่ยอมนั่งสูงกว่าเลย...ซึ่งผมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า
มีดีอะไร...ครับ...
…มีเกร็ดอยู่ในรูปภาพประจำตัวผมจะเล่าให้ฟังอีกเรื่องหนึ่ง ครับ...ภาพที่อุ้มเจ้าน้องอยู่นี้ อยู่ในช่วงวันเวลากำลังปั้น..แม่ธรณีบีบมวยผม
ครับ ขนาด ๑ ๑/๓ คนปกติ ปั้นเสร็จแล้วไปส่งสำนักสายสัญญา (อาจารย์
ของสิทํธิ์ เศวตศิลาและมยุรา ธนบุตร) ขับรถเอารูปปั้นขึ้นฐานที่สำนักตอนค่ำ (อยู่ อ.ชำนิ)..
…ช่วงที่รูปปั้นตั้งอยู่ที่พื้น อาจารย์บุญมา
เจ้าสำนัก (คนนี้นั่งสมาธิทั้งชีวิต มีออร่าเปล่งออกมาจากตัวได้ สานุศิษย์เยอะมาก)
อาจารย์บุญมา
เดินมาเห็นหน้าอก (นม) แม่ธรณีสวยมาก ในใจคงคิดอกุศล พอเอามือไปคำ แหกปากร้องเสียงหลงเลย...นิ้วมือพองไหม้..ครับ...ถามหาว่า ใครปั้นรูปปั้นนี้ ทำไมมีฤทธิ์มีเดชแท้...ผมกับเพื่อนๆได้แต่ยิ้ม
ก้มหน้าก้มตายกรูปขึ้นประดิษฐานบนแท่น จนแล้วเสร็จ รีบพากันกลับคุยหัวเราะกันมาตลอดทาง...
…พวกที่รู้ว่า ในป่านี้มีเสือ...จะเข้าป่าด้วยความระวัง...พวกไม่รู้เรื่องจะไม่สนใจเสือเลย...ฉันใดฉันนั้นครับ.
...ธรรมดาครับ...ยิ่งโต
ยิ่งเลอะ...เด๋วจะหาว่า เลอะไม่เป็น...เลอะจนเละแล้วก็สังเคราะห์รูปขึ้นใหม่ได้ รับผูกนิสัยไว้กับธรรมแล้ว...ไม่รอดไปจากธรรมหรอก...สร้างไว้เยอะๆประสบการณ์จะได้มาก...แล้วต่อเรือเดินสมุทรแห่งสติ
บาปมีเท่าไหร่บรรทุกให้เต็มข้ามไปฝั่งกระโน้นเลย...คบหากันแล้ว เทคนิคต่อเรือเดินสมุทรข้ามวัฏสงสาร ไม่ยากๆๆๆ....
...^
^…เพราะตอนที่สติกับจิต ถูกลมหายใจที่เป็นกายสังขารเชื่อมต่อสำเร็จอย่างมั่นคงแน่นหนาแล้ว
ญาณที่เกิดเป็นเรื่องเส้นปธานทั้งสิบจริงๆครับ
...ถ้าเป็นฝ่ายโยคะก็จะเห็นจักระทำงาน...ใน
Astral
Body...ไม่ต้องมาคิดมากำหนดเอง...ทั้งสิ้น...!!!
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
No comments:
Post a Comment