Breaking Dharma PART 15/2...!!!
....
ธนุรเวท
..เครื่องยิงกระสุนข้ามกำแพงเวลา..
(Hyper Spatial Horwizer)
เจ้าหญิงมัลลิกามัลลราชกัลยา
เทวีของเจ้าชายพันธุละมัลลบุตร มหาเสนาบดีแห่งแคว้นโกศล เป็น ๑ ใน ๓
เบญจกัลยาณีผู้ทรงเครื่อง มหาลดาปสาธน์ (หนักกว่า ๓๐๐
กิโลกรัม) และเป็นผู้ถวายเครื่องมหาลดาปสาธน์นี้คลุมพระสรีรร่างของพระพุทธเจ้าตอนปรินิพพานด้วย อยู่กินกันมานานไม่มีลูกด้วยกัน พันธุละมหาเสนาบดีจึงให้เสด็จกลับสู่ตระกูลคืน แต่เจ้าหญิงกลับไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าก่อน เพื่อกราบทูลลาพระพุทธเจ้าตรัสถึงสาเหตุ ก็ตรัสว่า
"ไม่มีเหตุ (ที่จะไม่มีลูก) อย่างนั้น "
เทวีจึงกลับไปแจ้งให้สวามีทราบ
ต่อมาไม่นานก็ทรงครรภ์จริงๆ เกิดการแพ้ท้อง อยากเสวยอยากอาบแต่น้ำในสระบัว (โบกขรณี) ที่ใช้ในงานมงคลอภิเษกของคณะราชตระกูลทั้ง
๘ ราชวงศ์ของนครเวสาลี แคว้นวัชชี...
ต่อจากนี้ไป
เป็นเนื้อหา อัญเชิญมาจาก...อรรถกถาแห่งธรรมบท ภาค ๓ ครับ...
พันธุละกล่าวว่า..."ดีละ"
แล้วถือธนูอันบุคคลพึงโก่งด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษพันหนึ่ง อุ้มนางขึ้นรถศึก
ขับตะบึงออกจากนครสาวัตถี มุ่งไปสู่นครเวสาลีแคว้นวัชชี
ทางประตูเมืองที่เจ้าลิจฉวียกเป็นส่วยถวายเจ้าชายมหาลิ
ผู้เป็นราชครูใหญ่ของแคว้นวัชชี
(เจ้าชายมหาลิ
ชื่อเต็ม มหาลิผู้ปากแหว่ง มีนัยตาบอดทั้งสองข้าง...เป็นราชบิดาของท่านพระสีวลีเถระ
ด้วย)
ก็ที่อยู่อาศัยของเจ้าลิจฉวีนามว่า
มหาลิ มีอยู่ ณ ที่ใกล้ประตูเมืองนั้นเอง ได้ยินเสียงล้อรถศึกกระทบธรณีประตูเมือง
ก็รู้ทันทีว่า
นี่คือรถศึกของเข้าชายพันธุละ จึงกล่าวว่า
"วันนี้
ภัยใหญ่จักเกิดแก่พวกเจ้าลิจฉวี!!!"
การอารักขาสระโบกขรณี
แข็งแรงทั้งภายในและภายนอก เบื้องบนขึงข่ายโลหะ แม้นกก็ไม่มีโอกาส
ฝ่ายพันธุละมหาเสนาบดี
ลงจากรถศึก เฆี่ยนพวกทหารผู้รักษาด้วยหวาย ให้แตกกระเจิงหลบหนีไปแล้ว
ก็ใช้ดาบตัดข่ายโลหะ ให้ภริยา คือ เจ้าหญิงมัลลิกาเทวีดื่มแล้ว อาบแล้ว
แม้ตนเองก็อาบด้วยน้ำในสระโบกขรณีนั้นด้วย เสร็จแล้วอุ้มเทวีของตนขึ้นรถศึก
ขับตะบึงออกจากพระนครเวสาลี โดยทางที่มาแล้วนั่นแล
พวกทหารที่รักษาสระโบกขรณี
ทูลเรื่องแก่พวกเจ้าลิจฉวี พวกเจ้าลิจฉวีกริ้ว เสด็จขึ้นรถศึก ๕๐๐ คัน
เพื่อตามจับเจ้ามัลละชื่อพันธุละ พร้อมทั้งแจ้งเรื่องแก่เจ้ามหาลิ
เจ้ามหาลิ ตรัสว่า
"พวกท่านอย่าเสด็จไป เพราะเจ้าพันธุละนั้นจักฆ่าท่านทั้งหมด"
แต่เจ้าลิจฉวีทั้ง
๕๐๐ องค์ก็ยังตรัสยืนกรานว่า "พวกข้าพเจ้าจักไปให้ได้"
เจ้ามหาลิ จึงตรัสว่า
"ถ้ากระนั้น พวกท่านเมื่อ ทรงตามไปแล้ว เห็นรอยล้อรถศึกของเจ้าพันธุละเป็นรอยลึกลงไปๆในแผ่นดินจนถึงดุมล้อ
ทุกพระองค์ต้องรีบเสด็จกลับ และเมื่อยังไม่กลับ
จักได้ยินเสียงราวกับสายอสนบาตข้างหน้า พึงเสด็จกลับจากนั้นด่วนเลย แม้เมื่อไม่กลับแต่นั้น จักเห็นช่องบังเกิดขึ้นแล้วในแอกรถของทุกๆท่าน
พึงกลับให้เร็วที่สุด อย่าได้เสด็จไปข้างหน้าอย่างเด็ดขาด"
เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น
ต่างพากันไม่เสด็จกลับตามคำของเจ้ามหาลิ พากันติดตามเจ้าพันธุละไม่ลดละ
มัลลิกาเทวีของเจ้าพันธุละจึงกล่าวว่า "ท่านพี่
รถศึกเจ้าลิจฉวีตามมาแล้ว"
เจ้าพันธุละตรัสว่า
"ก็เวลารถศึกเหล่านั้น เป็นแถวเรียงเดี่ยวเห็นเพียงคันหน้า น้องหญิง
ท่านจงบอกแก่เรา"
ในกาลเมื่อรถศึกทั้งหมดของเจ้าลิจฉวีเรียงเดี่ยวปรากฏเห็นแต่คันหน้า
มัลลิกาเทวีก็ตรัสรายงานเจ้าพันธุละ เจ้าพันธุละจึงยื่นเชือกคุมให้เทวีจับบังคับม้าแทน
แล้วเจ้าพันธุละก็ยืนตรงบนรถ โก่งธนูขึ้น ล้อรถถูกแรงยันของเท้ากดจมลึกลงไปในแผ่นดินเป็นทางยาว
ลึกกระทั่งถึงดุมล้อ เจ้าลิจฉวีแม้จะเห็นรอยล้อรถศึกของเจ้าพันธุละจมลึกลงไปเรื่อย
ก็หาหยุดติดตามไม เจ้าพันธุละจึงดีดสายธนู...
เสียงสายธนูนั้น
ได้เป็นประหนึ่งอสนีบาต
แม้ได้ยินเสียงอสนีบาตจากการขึ้นสายธนูแล้ว
เจ้าลิจฉวีก็ยังตามมาอยู่นั่นเทียว
พันธุละ
ยืนอยู่บนรถศึกนั้นแล ยิงศรไปลูกหนึ่ง ศรนั้นได้ทำให้งอนรถศึกทั้ง ๕๐๐
คันของเจ้าลิจฉวี เป็นช่องแล้ว แทงทะลุ
เจ้าลิจฉวีทั้ง ๕๐๐ พระองค์ตลอดเสื้อเกราะ แล้วจมหายไปในดิน
เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น
ไม่รู้ว่าศรของพันธุละทะลุร่างตนไปนานแล้ว ยังพากันตรัสตวาดว่า
"เฮ้ย! เฮ้ย!
เจ้าถ่อย จงหยุดให้เรา!"
เจ้าพันธุละ
หยุดรถศึก แล้ว ประกาศก้อง..
"พวกท่านเป็นคนตาย
การรบกับคนตายของข้าพเจ้า ไม่มี"
เจ้าลิจฉวีสงสัยตรัสขึ้นพร้อมกัน
"พวกข้าฯ ไม่เหมือนคนตายนะ"
เจ้าพันธุละ
จึงตรัสว่า "ก็แก้เกราะออกดู..."
(แก้เกราะแล้วเจ้าลิจฉวีที่ถูกถอดเสื้อเกราะก็ล้มตายทันที เจ้าพันธุละจึงแนะนำว่า จงเดินทางกลับไปสั่งเสียครอบครัวของแต่ละองค์ให้หมดแล้วจงถอดเกราะออก..เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น
กระทำอย่างนั้นทุกๆพระองค์แล้ว ก็ถึงชิพิตักษัยสิ้นทุกพระองค์
(กำลังรบของแคว้นวัชชีอ่อนแอลงฮวบตอนนี้เอง
แต่ขนาดนั้น แคว้นมคธของพระเจ้าอชาตศัตรูก็ไม่กล้าทำสงครามด้วย
ต้องใช่วัสสการพราหมณ์เข้าไปยุแหย่ให้เกิดความแตกแยก แล้วแคว้นวัชชีก็ล่มสลายลงใน พ.ศ.๓ แต่สถาบันสงฆ์แข็งแกร่งมาก ถูกแผนการเมืองแคว้นมคธทำให้สถาบันสงฆ์แห่งแคว้นวัชชีพินาศลงภายใต้ชื่อ
การสังคายนาครั้งที่ ๒ ครับ ความผิดเล็กๆน้อย
๑๐ ข้อ เป็นตราบาปอยู่ในพระไตรปิฎกภาคภาษามคธ
มากกว่าที่ชาวมคธประทุษร้ายท่านพระมหาโมคคัลลาน
นับเป็นพันบรรทัด)
จากเรื่อง
พระเจ้าวิฑูฑภะ บุปผวรรควรรณนา พระธัมมปทัฏฐกถา แปล ภาค ๓ ครับ
...ความยิ่งใหญ่ของวิชาธนุรเวท...ที่เป็นต้นเรื่องปรัมปราของ
มนต์ธนูมือ ในความเชื่องของศิลปมวยไทยครับ.
...จากความเชื่อของครูมวยไทย
เรื่องการลง นะ ธนูมือ....วิชานะ หมัดเพชร เสกเป่าแล้วแขนจะมีกำลังต่อยได้หนักหน่วง
สะกดคู่ต่อสู้อยู่ทุกหมัดที่ต่อย ความเชื่อเหล่านี้ อยู่ในวิชาไสยศาสตร์ไทย
...วิชาไสยศาสตร์ไทยพาดพิงไปถึงธนุรเวทของท้าวพันธุม มีชื่อเฉพาะอีกว่า
นีติประกาศิตา...อำนาจที่ทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์
...ในประวัติของมหาเสนาบดีพันธุละแห่งแคว้นโกศล
...เป็นผู้ขับไล่ตุลาการเลวในกาพย์พระไชสุริยาครับ...และเป็นผู้แสดงวิชาธนุรเวทไว้อย่างมหัศจรรย์สมัยพุทธกาลตามบันทึกของชาวพุทธโบราณด้วย...เนื้อเรื่องที่มีรายละเอียดเสริมกัน (คนศึกษามันศึกษาหมด..เท่านั้นจึงจะรู้ที่มาที่ไป...เค้าคือคนๆนั้น) อย่างนี้...คนศึกษาเฉพาะเรื่องจะไม่รู้ ต้องศึกษาทั้งไสยศาสตร์ไทย
ศิลปมวยไทย และพระพุทธศาสนาอย่างหนักเท่านั้น..
...ผลมาจาก
การที่เป็น..คนไม่ยอมเชื่ออะไรทั้งนั้น แต่..ความไม่เชื่อต้องพิสูจน์ได้ว่า
ไม่เชื่อเพราะเหตุผลตามเป็นจริง คืออะไร...กลายเป็นที่มาของภูมิปัญญาแบบ
"พาหุสัจจะ" และ "พหูสูตร" ของ อัตถนิชย์
โภคทรัพย์ คนนี้ไปในที่สุดน่ะ
...ภูมิปัญญาของบุรพชนแห่งราชอาณาจักรที่ได้ชื่อว่า
เป็น "ร่มพระบรมโพธิสภาร"
ของคนทุกเผ่าพันธุ์...เป็นองค์รวม...และองค์รวมทุกมิติ...เป็นพัฒนาการมาจากยุคพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาสากลศาสนาแรกของโลก
ในช่วง ๑,๐๐๐ ปีแรกนับจากพุทธกาลมา....
...จากวรรณคดี ขุนช้าง-ขุนแผน
แม่ย่าทองประศรี เป็นคนถ่ายทอดวิชาไสยศาสตร์ทั้งหมดของขุนไกรให้กับพลายงามหลานย่าจนพลายงามเก่งเท่ากับขุนแผนผู้พ่อ....ไสยศาสตร์ไทย..หญิงแม่เรือนเป็นผู้รักษา
ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น (ขุนแผน เป็นทหารเอก ของขุนหลวงพะงั่ว
พี่เขยของพระเจ้าอู่ทอง)
...การสงครามโบราณนายทหารจะได้ฆ่าข้าศึกขนาดไหนอย่างไร..แม่บ้านเป็นคนตัดสินใจให้ เป็นประเพณีโบราณที่เปอร์เซียโดยศาสนาโซโรอัสเตอร์ (ลัทธิบูชาไฟ
แนวร่วมพระพุทธศาสนาตั้งแต่สมัยพุทธกาล) ออกแบบไว้ก่อนใครในโลกครับ!!!
...ไอ้ชั้นหลังที่ผู้หญิงแตะไม่ได้อะไรนั้น ไสยดำ..และคงามงมงายจากลัทธิพราหมณ์ล้วนๆ...
...จากเหรัฎบนที่ราบสูงอะราโคเซียในอาฟกานิสถาน (พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสเล่าเรื่องนี้ไว้ใน
อัสสลายนะสูตร พราหมณ์อัสสลายนะ เป็นพ่อของท่านพระมหาโกฏฐิตะเถระ)...อารยันแตกเป็น
๒ สาย..
..จากต้นความเชื่อ มาทางตะวันออกเป็นอินเดีย ถือระบบวรรณะจากฤๅษี ๗ ตน
..ไปตะวันตกถือคติบูชาไฟ จากฤๅษี ๓ ตน (ภฤคุ, ยมกตัคนี, อังคีรสะ)
..สายบูชาไฟที่ไหลปนมากะพวกถือวรรณะก็ยังมีอยู่เต็มหลักฐานชั้นพระไตรปิฎก พระพุทธศาสนาถือพวกนี้เป็นแนวร่วมสำคัญเรียกว่า "อัคคีเวสนะ" (ชฎิล ๓
พี่น้อง. พราหมณ์พาวรี, มหาปุโรหิต อัคคิทัตตะ
ฯลฯ)
...บูชาไฟ..หรือ แขกปาร์ซี ของเปอร์เซียเกิดโซโรอัสเตอร์ขึ้น ก่อนพุทธกาลเล็กน้อย
เป็นศาสนาเจ้าของวาทะ
"ชีวิต คือการต่อสู้"
...อสูร สำเนียงเปอร์เซียเรียก
อาหูร...เทพเจ้าแห่งแสงสว่าง จึงเป็น อาหูรมาสด้า
เรียกคัมภีร์ว่า "อเวสต์" (อินเดียเรียก "พระเวท")
ผู้นำอารยันสายเปอร์เซียไปแต่งกับ
ผู้นำชาวมีเดีย (กษัตริย์ที่มีหูเป็นลา) เป็นอาณาจักรโบราณแรกที่ประกอบด้วยนานาเผ่าพันธุ์
...ใน ดิ โอลด์
เทสตาเม้นต์ พระคัมภีร์ภาคพันธะสัญญาเดิม เรียกพวก มิโด-เปอร์เซีย (ปาร์ซี
ลาตินออกเสียง "ฟารุส") ศาสนาโซโซอัสเตอร์ไม่เน้นการฆ่าศัตรู...แต่ให้ผู้หญิงเป็นใหญ่ในเรือน
และใหญ่ในตระกูลครับ...ยุคอยุธยาตอนต้นรับอิทธิพลศาสนานี้มาเต็มๆ...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
No comments:
Post a Comment