พระโสดาบัน
คือ
บุคคลที่ก้าวเข้าสู่การทำภาระกิจสูงสุดก้าวที่ ๑ ในพระพุทธศาสนา...
ความยิ่งใหญ่ของพระโสดาบัน
มีพระพุทธคาถาตรัสไว้ในธรรมบทว่า...
"โสดาปัตติผล ประเสริฐกว่า ความเป็นเอกราชในแผ่นดิน กว่าการไปสู่สวรรค์และกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง"
(จาก เรื่องนายกาละบุตรอนาถบิณฑิกเศรษฐี โลกวรรควรรณนา ธัมมปทัฏฐกถาแปล ภาค ๖)
ชนิดและระดับของพระโสดาบันนั้นมี
๕ ระดับ จากสูงไปหาต่ำ ดังนี้
๑.เอกพีชีโสดาบัน
๒.โกลังโกละโสดาบัน
๓.สัตตักขัตตุปรมะโสดาบัน
๔.ธัมมานุสารีโสดาบัน
๕.สัทธานุสารีโสดาบัน
(จาก เอกาภิญญาสูตร มหาวารวรรค สังยุตตนิกาย ไตรปิฎก เล่ม ๑๙/๔๕)
ลักษณะและคุณภาพของ
พระโสดาบัน...มีพระพุทธวจนะตรัสเป็นพุทธาธิบายไว้ดังนี้..
..".ภิกษุทั้งหลาย! เมื่อใด อริยสาวก รู้ชัดซึ่งความเกิด ความดับ คุณ โทษและอุบายเครื่องสลัดออก
แห่งอินทรีย์ ๖ ประการนี้ตามเป็นจริง
เมื่อนั้น
เราเรียกอริยะสาวกนี้ว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นเบื้องหน้าฯ"
(จาก โสตาปันนสูตร ข้อ ๙๐๓ มหาวารวรรค
สังยุตตนิกาย ไตรปิฎก เล่ม ๑๙/๔๕)
อะไรคือโครงสร้างความหมายของอินทรีย์
๖ ประการ มีพระพุทธาธิบายว่า
...อินทรีย์ ๖ ประการเป็นไฉน?
อินทรีย์ ๖ ประการ คือ
อินทรีย์ คือ ตา (จักขุนทรีย์),
อินทรีย์ คือ หู (โสตินทรีย์),
อินทรีย์
คือ จมูก (ฆานินทรีย์),
อินทรีย์
คือ ลิ้น (ชิวหินทรีย์),
อินทรีย์
คือ กาย (กายินทรีย์)
และอินทรีย์
คือ ใจ (มนินทรีย์)
(จาก สุทธกสูตร ข้อ ๙๐๑ มหาวารวรรค
สังยุตตนิกาย ไตรปิฎก เล่ม ๑๙/๔๕
…กล่าวโดยสรุป โสดาบัน คือบุคคล ผู้มีปัญญาหยั่งรู้ใน การเกิด การดับ คุณ โทษและการทำจิตให้เป็นเสรี พ้นไปจากการครอบงำของระบบอายตนะประสาททั้ง
๖ ที่ประกอบตัวกันเป็นองคาพยพแห่งสัตวบุคคล
…กล่าวโดยความเข้าใจ...การเข้าทำความรู้จัก
พลังงานคลื่นไฟฟ้าเคมีชีวภาพที่เป็น
คลื่นสั่นสะเทือน (Vibrations) อันเกิดจากการสัมผัสกับสิ่งเร้าในระบบอายตนะประสาททั้ง
๖ ระบบ (ตา-รูป, หู-เสียง, จมูก-กลิ่น,
ลิ้น-รส, กาย-โผฏฐัพพะ, ใจ-ธัมมารมณ์)
...หมายถึง
การรู้ที่เข้าถึงการสัมผัสกับพลังงานคลื่นเหล่านี้จนเกิดประสบการณ์ (สุตมยปัญญา)
รู้วิธีการเกิด
การดับ คุณ โทษและวิธีการเป็นเสรีพ้นไปจากการครอบงำจากประสบการณ์ของผัสสะในคลื่นเหล่านี้ทั้งหมด
...จึงได้ชื่อว่าพระโสดาบัน
อริยะบุคคลขั้นแรกสุดในพระพุทธศาสนา!!!
* เสริม
...เอกพีชีโสดาบัน (โสดาบันที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียว)
…โกลังโกละโสดาบัน (โสดาบันที่ท่องเทียวไปในตระกูล...เกิดมาเป็นมนุษย์มีครอบครัว
อีก ๒-๓ ครั้ง)
…และสัตตักขัตุปรมะโสดาบัน (โสดาบันที่เหลือการมาเกิดเป็นมนุษย์เพียง ๗
ชาติภพสุดท้ายจึงจะปรินิพพาน)..
…ทั้งสามระดับโสดาบันนี้ มีอภิญญา มีโลกียฤทธิ์ เพราะมีฌานและสมาธิเป็นอำนาจบาทรองรับแล้ว...โดยเฉพาะ
๒ อันแรก มีสมาธิสูงและแรงมาก...กว่าโสดาบันทั้งหมดด้วยกัน ปุถุชนทั่วไปไม่พึงใช้ความไม่เชื่อถือไปแตะต้อง...
...พวกชอบถามหาความหมายแต่รับกันไม่ได้...มีเยอะจนน่ารำคาญ...
จาก
มะเร็งช่องหูที่เกิดจากคลื่นการใช้มือถือ..มาสู่การอธิบายอุบัติการณ์แห่งพระโสดาบันครับ!!!
…ตอนอายตนะกระทบสิ่งเร้าเป็นผัสสะ แล้วเริ่มเกิด Vibrations
นั้น ก่อนที่สมองจะเริ่มตี
ความหมาย...ใจ
รู้ก่อนแล้ว เปรียบเทียบตีความกับ
"ธัมมารมณ์" เก่าเรียบร้อยแล้ว คำนวณค่าพลังงานสำหรับการตีความของสมองเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน
จึงส่งพลังงานผ่านเม็ดเลือดไปให้สมองเท่าที่จำนวนสมองต้องการพอดี
…แต่...ถ้าบันทึกประสบการณ์ใน
ธัมมารมณ์ที่ใจ มีมากกว่าที่ประสบการณ์ส่วนสมองได้บันทึกไว้....ก็จะเกิดพลังงานตกค้างจนเป็นที่มาของพฤติกรรมการ
"ละเมิด" นำไปสู่การเป็นอาชญากรทันที....ฉะนั้นคำว่า..การตามดูอารมณ์
และ/ รู้เท่าทันอารมณ์...ทุกสำนัก..ที่สอนกัน ...นกแก้วนกขุนทองทั้งนั้นครับ!!!
...การรู้อุบายเป็นเสรีไปจากสนามพลังงานที่คลื่น
Vibrations เหล่านี้เป็นตัวสร้าง จึงเป็นปัญญาชั้นสูงที่ประณีตและทรงพลัง
...โสดาบัน
จึงเป็นบุคคลที่ปุถุชนไม่ควรแตะต้องด้วยประการฉะนี้เอง....เลยกลายเป็นเงื่อนไขการบรรลุที่สูงขึ้นๆไปของโสดาบันเองด้วย...ต้องอ่อนโยน
สุภาพและอดทนให้...กับพวกปุถุชนถ่อยไม่รู้ประสา เพราะไม่ต้องการให้พวกถ่อยต้องเป็นอุบาทว์สถุลไปทุกภพทุกชาติ (เมตตาบารมี)
…เหล่านี้จะพัฒนาเป็นอุปนิสัยความเคยชินโดยมรรค..ไม่ต้องดัดจริตไปขอถือเอากะพระหรือใครๆ
...เป็นอุปนิสัยและวัตรปฏิบัติที่มาโดยมรรค
ครับ...อริยบุคคลแท้จึงน่ารักน่าเลื่อมไสชนิดเราเห็นแล้วปีติตื้นตันตั้งแต่แค่ชั้นบุคคลิกภาพเลยทีเดียว...เป็นบุคคลิกที่แสดงด้วยความตอแหลไม่ได้เลย...
…ธัมมารมณ์ส่วนเกินที่ตกค้างสืบเนื่องมาจากสันดานเดิมในชาติปางก่อน...ประสบการณ์ในชาตินี้ยังสะสมไปไม่ถึง...นี่การเริ่มเกิดความรู้สึกชั่ว...จากลมหายใจที่ผิดปกติก่อนแล้วครับ..ตอนนี้สมองจะเป็น
ทาสอารมณ์...
…ฉะนั้นการฝึกควบคุมลมหายใจ ก็คือการฝึกตัดกรรม ก่อนที่กรรมในชาติก่อนมันจะโยงมาถึง....สมองไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้
ต้องสะสมเฉพาะในชาตินี้ภพนี้ใหม่หมดครับ..
...ชั้นโสดาบันเนี่ย...ท่านสละชีวิตให้กับพระศาสนาได้แล้วครับ เป็นศรัทธาไม่คลอนแคลน แต่ไม่ถึงขั้นปกป้องพระศาสนา
…ส่วนสกทาคามี
และอนาคามี....สองระดับจะทำหน้าที่ปกป้องพระศาสนาในสังคมขนาดใหญ่
ระดับหนึ่งครับ
ผมอ่านและวิเคราะห์เจอ แต่ขอเวลาค้นหลักฐานชั้นพระไตรปิฎก (จากพระโอษฐ์) อีกระยะหนึ่งก่อน
...อนาคามีขั้นสูงสุดกะอรหันต์หน้าที่หนักขึ้นไปอีก (อย่างกรณีท่านพระอุปคุต ถูกคาดโทษไม่ออกมาปกป้องพระศาสนา ตอนสมัยพระเจ้าอโศกจนต้องถูกปรับอาบัติน่ะละครับ)
…ไอ้ที่สอนในประเทศไทย หลังจากการสาบสูญการถ่ายทอดคัมภีร์ปถมัง...ธรรมชั้นยกเมฆทั้งนั้นครับ....ทำลายพระศาสสนาด้วยซ้ำไป...หน้าที่ทางสังคมของอริยบุคคลผู้เป็น อาหุเนยโย ปาหุเนยโยและทักขิเณยโย เป็นภาระหนักและใหญ่มาก
...ในพระไตรปิฎกท่านเล่าย่อๆเฉพาะหัวกะทิ...แล้วพวกมันก็ย่อตัดตอนมาอีก...จนพระพุทธเจ้ากลายเป็นลูกน้องไอ้ธรรมชโย
ไปเลย เพราะมันไม่รู้ว่าพระอริยะท่านมีหน้าที่ทางสังคมโดยเฉพาะยุคสถาปนาและสงครามขนาดไหน...
…การบรรลุฌาน คือการที่ฝึกจิตขึ้นไปพ้นจากการครอบงำของไวเบรชั่นของระบบอายตนะ ท่านเรียกว่า วิมุตตายตนะ ๕ (มี ๕ ระดับ) สกทาคามี กะอนาคามี
อยู่เหนือการครอบเกือบหมดแล้ว แต่ สกทาคามี
ยังมีภาระครอบครัวอยู่ครับ อนาคามีไม่มีครอบครัว (ภาระทางสังคมจึงหนักหน่วงกว่ามาก)
…อนาคามีต้องเข้าสมาบัติเสวย "เนกขัมมสุข" ๗ วัน ๗ คืน แล้วเอาอานิสงส์แห่งสมาบัติ ๗ วัน ๗
คืน ไปมอบแก่ผู้ด้อยโอกาสที่มีศัรทธาในพระศาสนาครับ อานิสงส์พวกนี้เป็นบุญทันตาเห็นทั้งหมด...แต่ของพระอรหันต์นั้นหลากสลายสมาบัติมาก
แต่ที่อานิสงส์ใหญ่ที่สุดก็ยังเป็น
สมาบัติจาก "สัมโพธิสุข" บนพื้นฐาน อเนญชาสมาบัติ (สุญญตวิหาร ที่ท่านพระสุภูติได้รับว่าเป็นเลิศแห่งสุญญตสมาธิ
และทักขิเณยยบุคคลในอสีติอรหันต์)
…เป็นศาสนาเดียวที่เน้นเรื่อง อาหุเนยโย
ปาหุเนยโย และทักขิเณยโย บุคคลคุณภาพสูงในการรับทักษิณาทาน
และอานิสงส์แห่งทานที่ยิ่งใหญ่หวังผลได้เลยในวันนั้น....เทคโนโลยีของการทำทาน...การพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์เพื่อการยึดเหนี่ยวสังคมขนาดใหญ่โดยกฏเกณฑ์ทางนิวเคลียร์ฟิสิคส์ล้วนๆ...สังคมแตกแยกขนาดนี้แสดงถึงสภาวะที่ไม่ถึงพระพุทธศาสนากันทั้งนั้น...
…กระหายอยากเรียนรู้ธรรมะกันนัก...แต่พอมีธรรมะแบบลำบาก...ถอยกรูดๆไม่เอากันเลย
...ขอบรรลุอย่างสบายๆกันทั้ง...พลเมืองไทยวันนี้...ขี้ข้ากิเลสทั้งชาติ...นี่แหละพวกที่ทำให้ทุนนิยมสามานย์แบบนักการเมืองเจริญวันเจริญคืน....
No comments:
Post a Comment