Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Wednesday, December 28, 2016

๙๕.Buddha-Dharma-Sangha-Science-Fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-Religion-Language-Math-Mind-Universe-Meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food=Good Life Health.



95.พระพุทธเจ้า - พระธรรม - พระสงฆ์ - วิทยาศาสตร์ - นิยาย - มวยไทย - ประวัติศาสตร์ - โหราศาสตร์ -ไสยศาสตร์ - ศาสนา - ภาษา - คณิตศาสตร์ - จิต - จักรวาล - สมาธิ - โยคะ - ดนตรี - ศิลปะ - เกษตรกรรม - สมุนไพร - อาหาร = สุขภาพและชีวิตที่ดีงาม








Atthanij Pokkasap  :



ข่าวสาร จาก...พุทธตันตระ สยาม
ตอน...จิตสรีระร่าง..ร่างกายที่ชาวพุทธวันนี้ ไม่รู้จัก!!!
.... ....



...ชาวพุทธโบราณมีตำราจิตสรีระวิภาค ที่ต้องเรียนรู้ก่อนฝึกกรรมฐาน อยู่ในพุทธตันตระทั้งหมด   ชาวพุทธโบราณแบ่งองค์ประกอบร่างกายแบบเดียวกับวิชาฟิสิคส์ โดยเฉพาะ จลนศาสตร์ (Dynamics แบบเดียวกับโหราศาสตร์ดวงดาว)  และ นิวเคลียร์ฟิสิคส์


...ฉะนั้น  อย่านำวิชาชีวะ และสรีระวิทยา หรือกายวิภาคแบบชีววิทยายุคเก่า (สมัยล่าอาณานิคม)  มาเปรียบเทียบ   เพราะจะทำให้โง่และขี้โกง....



ธาตุ  - ตามหลักชาวพุทธโบราณหลังจากปะทะสังสรรค์กับวิชาการแพทย์อันสุดยอดของ
บาบิโลเนียนแล้ว...ประกอบแบบเดียวกับจักรวาล  คือ  ดิน (ปถวีธาตุ), น้ำ (อาโปธาตุ),
ไฟ (เตโชธาตุ), ลม (วาโยธาตุ), อากาส (อากาสธาตุ) และ วิญญาณธาตุ (อันที่วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 เรียกว่า Subjectivity of Time และ...Participeter...ที่มาแทน Observer แบบที่หน้าด้านใช้ในงานวิจัยปัจจุบันทั่วไปอยู่)...


...เป็นการแบ่งตามคุณสมบัติพื้นฐานทางฟิสิคส์   เพราะชาวพุทธโบราณเน้นไปที่ปรากฏการณ์ของแรง...การกระทำ (กรรม) ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่...ไม่มีอะไรเป็นเรื่องหยุดนิ่ง...ทุกอย่างต้องเรียนรู้ในสภาวะของเหตุการณ์ที่กำลังไหลเลื่อน(อนิจจตา)


...องคาพยพ ที่เรียกอาการ ๓๒ (ทวัตติงสาการ) เป็นอวัยวะตามคุณสมบัติธาตุดิน ๒๐ ชนิด คุณสมบัติแบบธาตุน้ำ ๑๒   ลมที่เคลื่อนไหวในร่างกายก็จำแนกเป็น ๖ กลุ่ม   และธาตุไฟ (กระบวนการเมตาโบลิสม์ภายในเซลล์) อีก ๔ กลุ่ม


...แยกเวลา กลางวัน-กลางคืน แบบเดียวกับปรากฏการณ์การหมุนของโลก อีก ๒ กลุ่ม คือ
แบบสุริยคติ และแบบจันทรคติ โดย...


...จิตที่ทำงานในตอนกลางคืน (จิตใต้สำนึกจิตไร้สำนึก)  มีวิถีเป็นเวลากลางคืน  เรียกวิถีเวลากลางคืนภายในของจิตนี้ว่า จันทระกลา


...จิตที่ทำงานในตอนกลางวัน (จิตสำนึก ปกติ)  มีวิถีเป็นเวลากลางวัน  เรียกวิถีเวลากลางวันภายในของจิตนี้ว่า สูรยะกลา


...ปรากฏการณ์เวลาภายใน หรือ จิตผู้ลำดับเหตุการณ์นี้ คือ สนามเวลาที่รองรับชีวิตและอายุขัยของสิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตวบุคคล  คือเรา-ท่านทั้งหลาย เป็นต้น



...ในวิชาแพทย์ฝ่ายพุทธตันตระ...การสูญเสียระเบียบของเวลาภายใน  คือที่มาของการกลายพันธุ์ของอวัยวะที่ประกอบเป็นองคาพยพทั้งหมดเป็นร่างกาย...นี่เอง


..พูดด้วยสมัยใหม่ก็คือ การทำลายเวลาของจิต (ไม่แยกแยะกลางวันกลางคืนของคนปัจจุบัน) เป็นที่มาของการทำให้สนามแรงที่รองรับอวัยวะในระบบหายใจและระบบขับถ่ายพินาศ..ได้แก่การกลายพันธุ์ของกรดอมิโน..ที่มาของ เบาหวาน ความดัน และมะเร็ง  รวมทั้งภูมิแพ้ทั้งหลายด้วย...






...มีความรู้อะไรจะมาฝึกจิตและจะมานั่งสมาธิ...อ่านตรงนี้ก่อน...อย่าโง่แล้วขี้โกงหน้าด้านๆกันอยู่เลย....มีความเป็นมนุษย์กันเสียบ้าง...เก่งมาจากไหน   มาเรียนกรรมฐานข้ามหน้าวิชาจิตสรีระศาสตร์ฝ่ายพุทธตันตระ!!!   เหมือนเรียนหมอแล้วไม่ยอมเรียน สรีระวิภาควิทยาเลย....สมองบิดเบี้ยวสิ้นดี...


คนทุกวันนี้ทำงานไม่รู้กลางวัน  ไม่รู้กลางคืน...เป็นมะเร็งตายเร็วเลย....(มะเร็งก่อตัวและกำเริบ เพียง ๓ เดือน  ก็จบชีวิต)    เพราะกรดอมิโนกลายพันธุ์  เนื่องจากสนามเวลารองรับอวัยวะแต่ละส่วนสับสน.. อย่างเกรงใจของธรรมชาติ  ก็เบาหวาน  ความดันและภูมิแพ้...สะสมมาจากการไปสร้างความสับสนให้เวลาของจิตกันทั้งนั้น...


ครับ...แพทย์สมัยใหม่ไม่มีความรู้เรื่องจิตเลย..เพราะวิชาที่เรียนเป็นแบบ Observer  ไม่ใช่แบบ Participater  ที่เพิ่งมีการค้นพบเมื่อหนึ่งร้อยปีมานี้เอง!!!      
Participater...จิตผู้ลำดับเหตุการณ์ถูกค้นพบโดยวิทยาศาสตร์สัมพัทธภาพ    ยังไม่มีศาสตร์ที่แอบอ้างความเป็นวิทยาศาสตร์สายไหนเอาไปประยุกต์ใช้ได้แม้แต่สาขา...โจรวิชาการโดยแท้...


พูดแบบสมัยใหม่จริงๆ    พิกัดของจิตอยู่ที่ โฟคัสของ Vibrations จากอายตนะประสาททั้ง ๖ ระบบ....ถ้าหมออ้างอย่างที่ว่ามา...แสดงว่าหมอแย้งกฏอนุรักษกรรมแห่งพลังงาน...หมอตอแหล...ไม่รู้วิทยาศาสตร์จริง!!


มะเร็ง  เบาหวาน  ความดัน  ภูมิแพ้...เอดส์.   หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน. เป็นโรคสมัยใหม่ที่แพทย์สมัยใหม่ล้มเหลวแล้วอย่างสิ้นเชิง    เพราะไม่มีความรู้เรื่องจิตอย่างที่อารยธรรมโบราณค้นพบ....หน้าด้านมาก...โจรสุขภาพ...ฉีกกก...หน้ากากความรู้แพทย์สมัยใหม่ของไทย...
มันดิครับ..งานนี้...สูงส่งกันนักไม่ใช่รึ....


...ขั้นที่ ๑ ไปหัดหายใจเลย...หายใจยาวๆ   คิดได้เมื่อไหร่ทำเมื่อนั้น...ครั้งละ ๓-๕ นาที...ธรรมชาติเค้าให้โอกาศเวลาท้อและเหนื่อยก็ถอนใจยาว    แต่ไม่เอามาเป็นนิสัยเอง...มันจึงป่วยง่าย  กรอบง่าย  แล้วก็แก่ง่าย...หายใจยาวๆเป็นนิสัย   มันจะเกิดญาณโตงเตงโตงเว้า   สัมผัสรู้สัมผัสเห็นอะไรอีกเยอะแยะ   แต่ที่ผ่านๆมาหายใจตามอารมณ์ตามยะถากรรมทำร้ายตัวเองกันทั้งนั้น...





...ที่สุขภาพขนาดอายุ 38 ครับ....เพราะท่าเคลื่อนไหวในศิลปมวยไทยหลายท่า...ไม่ปรากฏมีแล้ว...ต้องแสดงเอง  ถึงจะไม่สมบูรณ์แบบนัก (เพราะขาขวาที่หักแล้วหมอต่อยึดไม่ดี  มีปัญหากระดูกรอยต่อคดเกือบฉาก)...


ตำรามวยไทยรุ่นแรกๆ มีหลักฐาน  ไม่ว่าจะของ ครูกิมเส็ง ที่เป็นต้นแบบของประเทศเอง หรือของ อ.เปลี่ยน สมชาติ (ตำรับพระเจ้าเสือ)  ของ น.วงษ์ธนู (ลูกหลานทหารเรือ...แขกจาม) และของ ไชยยันต์  ศิษย์ ผล พระประแดง...พูดถึงเรื่องการฝึกสมาธิทุกเล่มครับ...เป็นศิลปะการต่อสู้ของพุทธตันตระแน่นอน....ตำราที่เขียนในช่วง พ.ศ.๒๕๐๐-๒๕๑๐ ได้เอามาเปิดเผยประจานแน่นอนว่า  ชั้นหลังๆมานี่  กูรูที่หาความซื่อสัตย์ไม่มี  มันตอแหลลวงโลกอะไๆรกันไว้บ้าง....


ฝอยประวัติ (เหลือเชื่อตัวเองนิดนึง)...ผมต่อยมวยไทยแค่ 18 ครั้งเท่านั้นครับ  แต่ 5 ครั้ง เป็นการเป็นตัวแทน  แทนเพื่อนนักมวย (สวมรอย) ขึ้นชิงแชมป์มวยไทยรุ่น แบนตัมเวท ทั้งของ ราชดำเนินและของลุมพินี   เหตุที่เพื่อนอ้างป่วยชกไม่ได้เพราะแชมป์น้ำหนักเกิน   ขึ้นต่อยเอาเดิมพันเล่นเป็นยก   ผมทำให้เพื่อนได้กินเดิมพันหมด...(แพ้  เพราะไม่ออกจากมุมทั้ง ๕ ครั้ง เพราะต่อกันเป็นยก  ชนะเดิมพันแล้วเลยไม่ต้องออกจากมุม...ชกเอาสนุกแลัมันเข้าว่า  ไม่ได้สนเรื่องรายได้หรืออนาคต ครับ)     สไตล์เอาเดิมพัน สกปรก ตุกติก ทุกรูปแบบ...ถนัดมาก....


...สมเดช ยนตรกิจ  อีซ้ายฟ้าผ่า..อดีตคนพายเรือจ้างข้ามแม่น้ำมูลครับ..
ฟ้าใส ทวีชัย  ซ้ายหนักธรรมชาติแบกน้ำหนักจนกรอบแพ้ภัยตัวเองไปเลย..การแบกน้ำหนักที่ดีต้องเตรียมพร้อมตั้งกะการซ้อมกระสอบทรายที่หนักพิเศษ และเล่นบาร์เบลแบบนักยกน้ำหนักครับ
แต่ที่แน่นๆ...การฝึก "ท่าจับ" ที่น่าเบื่อหน่ายที่สุดในการฝึกมวยไทย..คือสุดยอดในการแก้และเก็บอาวุธคู่ต่อสู้ทุกรูปแบบครับ...


ผมไม่หนักแต่...แรง เร็ว และคม ครับ    แข็งแรงและมีแรงปะทะมหาศาล...เกิดจากการยกน้ำหนัก (บารฺเบล) แบบนักยกน้ำหนักครับ...ยกแบบเอากำลัง ไม่เอากล้ามเนื้อ  มีจังหวะการหายใจและจังหวะดึงน้ำหนักที่ค่อนข้างเร็วกว่านักยกน้ำหนัก...แล้วแรงปะทะมหาศาลเลย....นักมวยทุกวันนี้ไม่ชอบออกกำลังเรื่องนี้   แรงปะทะห่วยแตกทุกคน...กระสอบก็ซ้อมกระสอบเศษผ้าเศษฟองน้ำ....



                                                                                             ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
  

* Story & Photos by  Atthanij Pokkasap

No comments: