Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Thursday, December 29, 2016

4.Breaking Dharma PART 4





Breaking Dharma PART 4...!!!
....


ขั้นตอน ปฏิบัติการโยคะ (สจิตฺตปริโยทปนํ) ของพระพุทธศาสนา ;


ขั้นที่ ๑. ต้องมีความเชื่อ เคารพ ต่อประสบการณ์การค้นพบทั้งหลายของ
พระพุทธศาสนา (***สัทธา, ศรัทธา***)


ขั้นที่ ๒. ต้องสมาทาน รับ และ/หรือเรียนรู้ **ศีล**
ตามเหมาะสมแก่ธรรมในหน้าที่ขณะนั้น  ทั่วไปหมายถึง ศีล ๕  ศีล ๘   
ทั่วไปแก่ธรรมในหน้าที่  หมายถึง..

โลกาธิปไตยศีล (ความดี ตามจารีต ระเบียบสังคมที่ตนอยู่)
อัตตาธิปไตยศีล (ความดี ตามหน้าที่ที่ตนยึดมั่นถือมั่นในสังคมส่วนตน)  และ
ธรรมาธิปไตยศีล (ความดี หน้าที่ปกติที่แยกแยะได้ด้วยปัญญาเฉพาะตนแล้วกลมกลืนกับหลักธรรมในพระศาสนา)


ขั้นที่ ๓. ต้องศึกษาและพัฒนาสถานภาพตนให้ดำรงอยู่ในความ **สันโดษ **
หมายถึง  พอใจในสิ่งที่มี และสามารถสร้างปัญญานำสิ่งที่มีมาสร้างให้เกิดประโยชน์สูงสุด  ทั้งแก่ตนและสังคมส่วนตนได้


ขั้นที่ ๔. เรียกว่า*** อินทรียสังวร***
หมายถึง  การฝึกความรู้สึกตัว อยู่กับ อิริยาบถการเคลื่อนไหวต่างๆของร่างกาย   ตลอดจนรับรู้ เหตุการณ์ต่างๆรอบตัวด้วยความตั้งใจและระมัดระวัง

ที่สุดของอินทรียสังวร   หรือที่แปลกันทั่วไปว่า การสำรวมอินทรีย์   คือความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนที่สามารถสัมผัสถึง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเคมีชีวภาพ (Vibrations) ในกระบวนการทำงานของระบบ อายตนะประสาท ทั้ง ๖ ได้อย่างอ่อนๆ


ขั้นที่ ๕. เรียกว่า***โภชเนมัตตัญญุตา***
หมายถึง  การควบคุมอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อ  ของแต่ละวัน (Dietary)   ให้มีการนำพลังงานไปใช้ที่สัมพันธ์กับการการสร้างพลังงานในสัมผัสของอายตนะประสาททั้ง ๖ ระบบ โดยสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพที่สุด

ตามการค้นพบของพระพุทธศาสนา  หมายถึง การรับประทานอาหารมื้อเดียวต่อวันในขณะหวังผลในการฝึกจิต   ที่ประกอบด้วยการย่อยของกระเพาะอาหารที่มีประสิทธิภาพ (ไม่เหลือกาก)  เพราะกากที่เหลือในลำไส้เล็กก็ดี  ลำไส้ใหญ่ก็ดี..จะไปหน่วงเลือดลงอวัยวะเบื้องต่ำ  เป็นที่มาของความกำหนัดในกามคุณ ๕

จึงมีคำสอนยืนยันการค้นพบไว้ว่า..

ชื่อว่าอาหารอันเป็นคำหยาบ  ต้องเคี้ยวแล้วกลืนกิน (กวฬิงการาหาร) ย่อมเป็นไปเพื่อกามคุณ ๕
อาหารดับ = กามคุณ ๕ ดับ
กามคุณ ๕ ดับ = ย่อมได้สมาธิ  คือ ฌาน
(นปหาย  มุนิ  กาเม..มุนีผู้ประหารกามไม่ได้    เนกฺกตฺตมุปปชฺชติ...ย่อมเข้าฌานไม่ได้)

การที่จะทำประสบความสำเร็จในการรับประทานอาหารมื้อเดียวอย่างมีประสิทธิภาพ   อยู่ที่การจัดระเบียบลมหายที่สม่ำเสมอ  ลึก  ยาวมั่นคงต่อเนื่อง    ทำให้ร่างกายมีการนำออกซิเจนจากอากาศที่หายใจเข้าไป    ไปใช้เพื่อการเผาผลาญภายใน (Metabolism) อย่างมีประสิทธิภาพ


ขั้นที่ ๖. เรียกว่า ***ชาคริยานุโยค***
หมายถึง  การประกอบด้วยการตื่น (ให้มาก)  คือ ควบคุมการนอนให้สม่ำเสมอที่ เวลา 22.00 น ถึง 02.00 น. ต่อวัน
แต่ในสายฝึกหนักแบบทุ่มเทหวังผล   จะถือการนั่งเป็นวัตร ไม่หลับ (เนสัชชิกังคธุดงค์)

การกำหนดการตื่น (แบบผ่อนคลาย ไม่เพ่ง) ต่อเนื่อง  จะเข้มแข็งเป็นระเบียบสม่ำเสมอหวังผลได้นั้น  ก็เช่นเดียววิธีการในขั้นตอน***โภชเนมัตตัญญุตา***    คือ จะมั่นคงสำเร็จขั้นนี้ได้  ต้องอาศัยลมหายใจที่เป็นระเบียบ ลุ่มลึกดีแล้วเท่านั้น    จึงจะทำให้การตื่นตัวแบบไม่ทรมานตนเอง...พัฒนาไปด้วยดี

เหตุผลสำคัญที่ท่านให้ฝึก ชาคริยานุโยค  ก็เพื่อจะได้ให้จิตใต้สำนึก หรือจิตที่ทำงานตอนกลางคืน กลมกลืนเป็นเอกภาพกับจิตที่ทำงานตอนกลางวัน  จิตที่มีเวลาต่างกันนี้เมื่อกลมกลืนเป็นเอกภาพ
ผู้ปฏิบัติจะเริ่มสัมผัส...แสงสว่างตามธรรมชาติของจิต (จิตเดิมแท้ นี้เป็นปภัสสร แต่เศร้าหมองด้วยอุปกิเลส ที่จรมา)

ไม่ใช่ไปกำหนดแสงสว่างมาบังคับจิต อย่างที่สอนที่ทำๆกันโดยทั่วไปซึ่งปราศจากขั้นตอน ไม่ใช่
คำสอนในพระพุทธศาสนา...


ขั้นตอนที่ ๗. ***โยนิโสมนสิการ***
แปลแบบปริยัติทั่วไปว่า   การคิดโดยแยบคาย    แต่เมื่อพิจารณาตามขั้นตอนที่มาจนถึงโยนิโสมนสิการจริงๆแล้วไม่ใช่    การแปลนั้นเป็นการแปลตามศัพท์ของผู้ไม่มีความรู้ในขั้นตอนการปฏิบัติเลย...

โยนิโสมนสิการ ณ ที่นี้  จะคล้าย "พาหุสัจจะ" และ "พหูสูตร"   คือต้องเรียนรู้ธรรมแห่งการค้นพบในประสบการณ์การค้นพบของพระพุทธศาสนามาอย่างกว้างขวางและละเอียดลึกซึ้ง  แล้วแยกแยะวิเคราะห์ออกมา  นำมาใช้ให้เหมาะสมกับประสบการณ์เฉพาะตนของแต่ละบุคคลตามความเหมาะสมตามธรรม  ตามกาลและตามเวลา


ขั้นตอนที่ ๘. ***วิเวก***
หมายถึง "สงัด"  เป็นขั้นตอนพัฒนาจิตที่ฝึกมาตามลำดับไปสู่ความสงัด  คือ สงัดจากกามคุณ ๕ อย่างเด็ดขาด   เป็นที่มาของการได้..ฌานตามมาตรฐานของสัมมาสมาธิ
  
เนื่องมาจากประสบการณ์ในขั้นก่อนหน้าที่สัมผัสแสงสว่างตามธรรมชาติของจิตที่ถูกแยกและตัดตอนออกจากการเข้าร่วมผสมกับพลังงานคลื่นในระบบอายตนะประสาทส่วนต่างๆ    แสงสว่างตามธรรมชาติของจิตจะนำไปสู่การสัมผัสเห็นมิติที่ซับซ้อนเข้าไปในโลกแห่งกาลเวลาและการเคลื่อนไหวของรูปภาวะทั้งหลาย....ที่เหตุการณ์เหล่านั้นต้องมาเป็นเรื่องปรัมปราแล้วถูกนำมาเล่านำมาถ่ายทอดอย่างสับสนจนกระทั่งจับต้นชนปลายไม่ถูกในปัจจุบัน

สัมมาสมาธิ  คือ ปฐมฌาน (ฌาน ๑), ทุติยฌาน (ฌาน ๒), ติตยฌาน (ฌาน ๓) และ จตุตถฌาน (ฌาน ๔)..ที่เป็นฐานรองรับ วิชา ๓ (เตวิชชา) ปฏิสัมภิทามรรค ๔ และ อภิญญา ๖   ตลอดจน วิชชา ๘   เป็นพัฒนาการสัมผัสเห็นของจิตในระดับนี้   โดยเข้าผสมกับ "อาโลกสัญญา (แสงสว่าง)" และ/ หรือ "อธิษฐานทิวาสัญญา (แสงสว่างของจิตกลางวัน)"

ลำดับหัวขอปฏิบัติธรรมฝึกจิต  จาก คณกโมคคัลลานสูตร ข้อ(๙๔)  หมวด อุปริปัณณาสก์  มัชฌิมนิกาย   ไตรปิฎก เล่ม ๑๔/๔๕
ขยายความโดยประสบการณ์เฉพาะตน ของ Atthanij Pokkasap

ขอความเข้าใจ ธรรม ที่เป็นไปเพื่อความเคารพอย่างสูงส่ง ต่อพระสัมธรรม  ไม่ใช่พูดเองรู้เองโดย
ไม่สนใจต่อหลักการในคัมภีร์...ได้โปรด ประสิทธิ์ มงคล และความสวัสดีอันสูงส่งแก่ทุกท่านที่สนใจด้วย เทอญ.




...อาเทสนาปาฏิหาริย์ คือ  พระพุทธวจนะตรัสแสดงถึงขั้นตอนกันทำปาฏิหาริย์แห่งจิตที่ฝึกให้ได้ดีแล้วอย่างมีลำดับขั้นตอน...ไม่ใช่คำเทศนาที่เป็นปาฏิหาริย์ตามการแปลแบบปริยัติทั่วไป...ขอบิณฑบาตร  เข้าใจให้ถูกต้องชัดเจนด้วย...ได้เวลาทำนาและขับรถศึกแห่งธรรมกันแล้ว...

กลับไปดูอริยมรรคองค์ ๘ ครับ   อันแรกเลย  คือ สัมมาทิฏฐิ!!!   คนมีศรัทธา ได้สัมมาทิฏฐิ ไปแล้วมากน้อย   ที่วิจารณ์กันเป็นเรื่องของพวก..หลงทาง ครับ

รากฐานข้อมูลที่ผมต้องเชื่อมโยงตามกฏ พุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ...ตลอดเวลา   
จึงกล้าคิด  กล้าทำและกล้าท้าพิสูจน์...ตรรกะของพระพุทธศาสนา   ท่านเชื่อมโยงถักซ้อนยันกันไว้หลายชั้นมาก...เป็นเรื่องของสติปัญญาสุดๆ....

ในแง่ของอธิปไตย ๓  ผมเข้าถึงหน้าที่อัตตาธิปไตยศีลและหน้าที่ตามธรรมในธรรมาธิปไตยศีลแล้ว ต้องลงมาทำหน้าที่รักษาขอบเขตของโลกาธิปไตยศีลด้วย

...พระอรหันต์หลายองค์อย่างเช่นท่านพระอุปคุต  ที่ต้องถูกปรับอาบัติ    ก็เพราะไม่มาทำหน้าที่สอดส่องขอบเขตของโลกาธิปไตยศีล ครับ.




                                                                                                  ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
  

* Story & Photos by  Atthanij Pokkasap


No comments: