Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Thursday, December 29, 2016

1.Breaking Dharma PART 1





Breaking Dharma PART 1...!!!
.... ....




สอนแต่ให้มี สติ มีสติ...

รู้กันบ้างหรือไม่? ..สติตามการค้นพบ ของพระพุทธศาสนา มีถึง ๑๗ ชนิด ๑๗ ประเภท!!!


๑. อภิชานโต                สติ  คือสติเป็นไปเพื่อการระลึกชาติ

๒. กุฏุมพิกาย               สติ  คือการทรงจำเฉพาะสมบัติข้าวของมีค่าที่ตนผูกพัน

๓. โอฬาริกวิญาณโต    สติ  คือสติของผู้ได้  "ดวงตาเห็นธรรม" แล้ว

๔. หิตวิญฺญาณโต        สติ  คือสติที่ระลึกได้ถึงแต่ความสุขที่เคยได้

๕. อหิตวิญญาณโต      สติ  คือสติที่ระลึกได้แต่เรื่องทุกข์ๆ ที่ผ่านมา

๖. สภาคนิมิตฺตโต         สติ  คือสติที่คิดเห็นแต่เรื่อง ตายๆๆๆๆ เห็นการตายของสิ่งหนึ่งก็คิดถึง
                                          การตายของอีกสิ่งหนึ่ง..

๗. วิสภาคนิมิตฺโต         สติ  คือสติที่เกิดจากการสัมผัสกลิ่น  สี  รสสิ่งของแล้วก็จะระลึกได้ถึง 
                                           ประสบการณ์ทางผัสสะที่ตนเองเคยได้รับ

๘. กถาภิญญาณโต       สติ  คือสติที่จากการคิดได้ ระลึกได้เพราะมี บุคคลอื่นเตือน

๙. ลกฺขณโต                 สติ  คือสติที่จะระลึกได้ต่อเมื่อเห็นเครื่องหมายที่ตนเคยทำเอาไว้

๑๐. สรณโต                  สติ  คือสติที่ระลึกได้เพราะมีบุคคล มาเตือน

๑๑. มุทฺธโต                  สติ  คือสติที่ระลึกได้เพราะตยได้มีการบันทึกเอาไว้

๑๒. คณนาโต               สติ  คือสติในการระลึกของจำนวนต่างๆมากมายได้ด้วยการจัดลำดับไว้

๑๓. ธารณโต                สติ  คือสติในการระลึกสิ่งต่างๆ ที่เคยจดจำด้วยความอุตสาหะ ที่จะจดจะจำให้ได้ 
                                           (เช่นการท่องจำอย่างหนัก  การผ่านตาซ้ำซากอย่างหนัก)

๑๔. ภาวนาโต               สติ  คือสติที่เกิดจากการฝึกจิต  ฝึกสมาธิ  ได้แก่ การระลึกชาติที่ 
                                           พระพุทธศาสนาเรียกว่า วิชชา  คือ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ

๑๕. โปต์ถกนิพนฺธนโต   สติ  คือสติในการระลึกถึงบันทึก จารึกที่มีหลักฐานต่างๆอยู่

๑๖. อุปนิกฺเขปนโต         สติ  คือสติที่ต้องเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ก่อน  หรือเห็นสิ่งของใดๆเสียก่อน  
                                            จึงจะนึกถึงรายละเอียดต่างๆได้

๑๗. อนุภูตโต                สติ  คือสติในการที่สามารถทรงจำสัมผัสทางอายตนะทั้ง ๖ ได้ อย่าง
                                            ละเอียดในอดีตทั้งหมดที่เคยมีประสบการณ์มา


จาก สติอาการปัญหา  สัตตมวรรค  มิลินทปัญหา


(คัมภีร์มิลินทปัญหา  เกิดขึ้นเป็นภาษาสันสกฤตก่อนในพุทธศตวรรษที่ ๕ จากการเผชิญหน้ากันระหว่าง ราชามิลินทะ หรือ คิง Menander ในปี พ.ศ.๓๙๒  กับท่านพระนาคเสน   และถูกถอดความเป็นภาษามคธในพุทธศตวรรษที่ ๖ ฉบับแปลภาคภาษาไทยสมัยรัชกาลที่ ๓ ราชวงศ์จักรี  ถือเป็นฉบับแปลที่สมบูรณ์ที่สุดในโลก....   
เมื่อมีการพบว่า  ต้นฉบับโบราณทั้ง ภาษาสันสกฤตและมคธ สาบสูญหายไปหมดแล้ว   จึงมีการนำฉบับแปลเป็นภาษาไทยสมัยในรัชกาลที่ ๓ แห่งรัตนโกสินทร์นี้   แปลกลับคืนเป็นภาษามคธ....)





...สติระลึกชาติโดยธรรมชาติก็ส่วนหนึ่ง  สติภาวนาเพื่อปัญญาญาณในการระลึกชาติก็ส่วนหนึ่ง...ส่วนตัวของผม  ได้สติถึง ๑๓ ข้อ...แบบเต็มๆ...

มันมีแบบธรรมชาติโดยธรรมชาติ  ธรรมชาติโดยการฝึก และการฝึกโดยธรรมชาติ...ครับ  เหมือนเสาแห่งเหตุการณ์ของนิพพานที่มี สามมิติ..สติ จะมี ๑๗ มิติ...

เสาต้นเดียวกัน   แต่จะพูดเพียงด้านเดียวไม่ได้ครับ...เพราะเสานี้อยู่ในมิติแห่งกาลเวลา...ไม่ใช่วัตถุ...

เป็นปริศนาเช่นเดียวกะ  เส้นสุศุมญา....ที่ต้องทำให้สูรยะกลา นาภี และจันทระกลา นาภี  เต็มก่อน    สุศุมญา จึงจะปรากฏโดยธรรมชาติ...





...ย้อนไปที่หมวดธรรม ปัญญา ๓ ครับ :

๑.จินตามยปัญญา   ที่นายขยะแปลว่า   ปัญญาโดยสัญชาตญาณ(เพราะมีกับสัตว์หลายชนิด)เป็นปัญญาที่สัมพันธ์กับคลื่นต่างๆของจักรวาลระดับหนึ่ง

๒.สุตมยปัญญา  ที่นายขยะแปลว่า   ปัญญาที่ตกผลึกมาจากการสั่งสมประสบการณ์หรือปัญญาจากประสบการณ์

๓.ภาวนามยปัญญา   ปัญญาที่สำเร็จมาจากอำนาจสมาธิที่ฝึกมาดีแล้ว

สติ ทั้ง ๑๗ รูปแบบลักษณะ  เกี่ยวข้องกับระดับปัญญาเหล่านี้ ครับ.(ต้องเปรียบเทียบและแยกแยะเอง...เพราะถ้าอธิบาย   ยืดยาวมากเรื่อง..มากกก..)

ภาวนามยปัญญา   ต้องหยั่งย้อนไปใน สุตมปัญญา   แล้วลึกไปถึง จินตามยปัญญา...จึงจะเกิดปัญญาที่เป็น "สัมโพธิญาณ" ครับ...ไม่ฝึกไม่รู้  คิดเอาเองไม่ได้..ครับ     แล้วจะเข้าใจว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสกับช้างนาฬาคิริง   แล้วช้างรู้เรื่อง...






...สัญญา  เป็นโครงสร้างหนึ่งของจิต   ไม่แยกจาก ปัญญา วิญญาณ เวทนา    ผลัดกันกินพื้นที่ความเป็นจิต   ชนิดมึงมั่งกูมั่ง...ครับ   และเนื้อที่ส่วนใหญ่จะถูกสลายเป็น ปัญญา ในระดับสูงๆครับ

...การรู้เรื่องเหล่านี้   เป็นคำพูดหรืออักขระไม่จบครับ  ทะเลาะเถียงกันจน เป็นหินยาน มหายาน เละเทะเลย...โยคาจาร  ต้องอุบัติขึ้นเพราะปฏิเสธปริยัติครับ...

ผมจำมาจากที่ท่านพระสารีบุตร   อธิบายเอาไว้ใน มหานิทเทส  ขุททกนิกาย  ไตรปิฎก เล่ม ที่ ๒๙/๔๕ และ จุฬนิทเทส เล่ม ที่ ๓๐/๔๕ ครับ ...

ดูเฉพาะ เถระคาถา เถรีคาถา และอัปทาน  ขุททกนิกายที่   อัญเชิญมาถ่ายทอดกันแค่เล็กๆ
น้อย   นักปราชญ์เมืองไทยมีแผลเหวอะหวะเละเทะเลย...




                                                                                                      ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
  

* Story & Photos by  Atthanij Pokkasap

No comments: