ปัญญา แปลว่า รู้รอบ, รู้ทะลุปรุโปร่ง ( ป+ ญา)
ปัญญาแบบพระพุทธศาสนา มี ๓ ระดับ ด้วยกัน
(แปลตามปฏิบัติการโยคะ ไม่แปลตามพระปริยัติ)
คือ....
ปัญญาชนิดแรกนี้ เป็น ผลึกที่มาจาก จิตเพื่อการอยู่รอดโดยธรรมชาติ กรองตกออกมา
ในมนุษย์ปัจจุบัน ปัญญาโดยสัญชาตญาณนี้ ถูกทำลายโดยระบบการเรียนรู้แบบลัทธิความเชื่อในพิธีกรรมทางวิทยาศาสตร์ แทบหมดสิ้นแล้ว จะพบได้ก็เฉพาะเยาวชนที่อยู่นอกระบบการศึกษา เป็นส่วนใหญ่
ในมนุษย์ปัจจุบัน ปัญญาโดยประสบการณ์ถูกทำลายโดยหลักสูตรการศึกษาที่ใช้ใบกระดาษแผ่นเดียวรับรอง
หลักสูตรง่ายที่สุดของปัญญาที่สำเร็จโดยประสบการณ์ ก็คือ การท่องจำ ซึ่งก็ได้รับการปฏิเสธไปแล้วแทบสิ้นเชิงงจากพวกมนุษย์ที่เชื่อว่าใบกระดาษรับรองมีค่ามากกว่า
ในปฏิบัติการโยคะ สุตะ โดยศัพท์พระบาลี แปลว่าการฟัง แต่โดยศัพท์สันสกฤต คือศรุต คือโศรตรีย
หมายถึงประสบการณ์ทางกายเนื้อที่มีจิตเข้าร่วมด้วยอย่างเต็มที่ เป็นประสบการณ์ของกายเนื้อที่มีจิตวิญญาณ แห่งการดิ้นรนแก้ปัญหาเพื่อการอยู่รอด อยู่ให้ดีกว่าเดิม เป็นประสบการณ์ของตัวชีวิตที่หวังความเจริญก้าวหน้ากว่าที่ผ่านมา เมื่อชีวิตยังมีและยังดำรงอยู่ ซึ่งก็คือ ประสบการณ์อันประกอบด้วยความมุ่งมั่น และใส่ใจความรู้สึกทุ่มเทลงไป นั่นเอง แล้วเท็คนิคก็พัฒนาไปสู่...ปัญญาขั้นที่ ๓ สุดท้าย
หมายถึง
#ปัญญาที่สำเร็จจากการอบรมจิต ด้วยเท็คนิคพิเศษเฉพาะตามการค้นพบและเปิดเผยไว้ดีแล้วของพระพุทธเจ้า หมวดคำสอนที่ ๓ คือ
#สจิตฺตปริโยทปนํ -การทำจิตให้ขาวสว่างรอบ ซึ่งผ่านขั้นตอน สองขั้นต้นอย่างเข้มข้นมาก่อนคือ หมวดคำสอนที่ ๑
#สพฺพปาปสฺสอกรณํ-การไม่ทำบาปทั้งปวง(มักแปลอย่างคับแคบและตื้นๆว่า "ไม่ทำชั่ว") และหมวดคำสอนที่ ๒
#กุสลสฺสูปสมฺปทา-การยังกุศลให้ถึงพร้อม(มักแปลอย่างแคบๆตื้นๆว่า "ทำความดี" โดยตัดเท็คนิคความเพียรและการแยกแยะด้วยสติปัญญา ที่ประกอบเป็นความหมายใน "กุศล"ออกเกลี้ยง)
การอบรมจิตและกายพร้อมกันที่เรียกว่า
#ภาวนา เป็นโยคะที่โดดเด่น ชัดเจน ลึกซึ้งอย่างสูงส่ง ของพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ พุทธนิยาม ความหมายของจิต พุทธนิยาม ความหมายของนามรูป ที่เป็นเหตุปัจจัยร่วมซึ่งกันและกัน ระหว่างจิต กับนามรูป สะท้อนผ่าน อาการ ๓๒ อินทรีย์ ๕ อายตนะ ๖ ที่เป็นสัตวบุคคลประกอบความรู้สึกว่ามีมีชีวิต ที่กำลังดำรง และดำเนิน เป็นไปอยู่
เมื่อศึกษาเข้าใจถึง โครงสร้าง แห่งจิตสรีรวิภาคในกายตน ตามการค้นพบและเปิดเผยดีแล้วของคำสอนในพระพุทธศาสนา จึงจะเข้าสู่ขั้นตอนที่เรียกว่า ภาวนา และเป็นบทอบรมจิตให้ขาวสว่างรอบ ได้
ปรากฏการณ์ในปัญญาขั้นที่ ๓ นี้เป็น อุตริมนุสสธรรมทั้งหมด
เป็นปาฏิหาริย์ทั้งหมดแห่งคำสอนในพระพุทธศาสนาด้วย
เป็นสมรรถนะของจิตและกายเนื้อสูงสุดของมนุษยภาวะด้วย ประกอบด้วย....
การประสบเห็นแสงสว่าง(โอภาส) ...ปรากฏการณ์ที่จิตแสดงสถานะเป็น Mind over Force Field เมื่อเผยตัวเป็นอิสระไปจากประสบการณ์ของอายตนประสาททั้งระบบ
การประสบเห็นนิมิต( รูปชีวิตละเอียด-Astral Body)
และเรื่องราวต่างๆที่เป็นเนื้อหาละเอียดประกอบภูมิทัศน์ ทั้งของแสงสว่าง(โอภาส) และของรูปนิมิต
เหตุการณ์แรกที่นักปฏิบัติการโยคะในพระพุทธศาสนาพึงประจักษ์ตามขั้นตอนการอบรมแห่งองค์พระศาสดา คือการประจักษ์สาโลหิต-มิตรสหายใกล้ชิดผู้เคยปฏิบัติธรรมร่วมกันมาแต่ปางบรรพ์ แล้วท่านเหล่านั้น ได้บรรลุธรรมมาล่วงหน้าก่อน หรือ ผูกพันใกล้ชิดตนมากมาก่อนในปางบรรพ์นั้นๆ
ปรากฏการณ์เทวดาทั้งหมดในพระไตรปิฎก
ก็คือสาโลหิตที่เคยร่วมปฏิบัติธรรมในอดีตทั้งหมดของพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ผู้มาอุบัติเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน และท่านเหล่านั้นบรรลุธรรม กับติดอยู่ในธรรมล่วงหน้ามาก่อนทั้งสิ้น
พวกปฏิบัติแล้วประสบเห็นนอกลู่นอกมรรคา ที่พระบรมศาสดาทรงวางแนวทางไว้ให้...
ยืนยัน ณ ที่นี้ครับว่า...
ทั้งปัญญาล้วนวิปริต ทั้งดวงจิตล้วนวิปลาศ
กันทั้งหมด....ครับ.
************************
No comments:
Post a Comment