Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Monday, March 5, 2018

หัวใจ และ มโนวิญญาณธาตุ





*** Atthanij Pokkasap about an hour ago



หัวใจ...ของเราท่าน...
มีจุดกำเนิดไฟฟ้า ๔ จุด
ความแรงอยู่ระหว่าง -60 ไปจนถึง +20 มิลลิโวลท์
กระแสไฟฟ้าเกิดจาก การทำงานของเซลล์
จะไปกระตุ้นที่ จุดแรก(Sinus Node) ก่อน
แล้วส่งกระแสไปยังเซลล์กล้ามเนื้อ
ทำให้เกิดการบีบตัว การกระตุ้นเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง
กล้ามเนื้อหัวใจก็จะบีบตัวครั้งหนึ่ง
ซ้ำๆกันเช่นนี้ตลอดไป ทำให้ระบบการหายใจและสูบฉีดเลือด
ไปเลี้ยงทั่วองคาพยพร่างกายดำรงและดำเนินไปได้

ณ จุดกำเนิด ๔ จุดที่ว่านี้..
เป็นอิสระสัมพันธ์กัน แต่ถ้ามีการช็อตลัดวงจร..
หัวใจก็จะเกิดการเต้นแรง สะเปะ สะปะ ไม่มีจังหวะสม่ำเสมอ
และ ถ้าจุดใดจุดหนึ่งเสีย ที่เหลือจะพยายามเข้าทำหน้าที่แทน
แต่จะทำให้หัวใจเต้นช้าลง และทำงานหนัก

จุดกำเนิด ๔ จุดนี้ พระพุทธศาสนาค้นพบเรียกเป็นศัพท์เทคนิค
ประสาชาวพุทธโบราณว่า...* มโนวิญญาณธาตุ*

มีการทำงานประสานกับ สมองส่วนล่างหลังกระบอกตา
ที่เป็นสมองส่วนประมวลผลของประสบการณ์ของสมองทั้งหมด
ที่มาของความฝันชนิดต่างๆตามระดับลึกของจิต
และเป็นที่มาของ "ตาทิพย์(ทิพยจักษุ..Clairvoyance)"

เมื่อผสานคลื่นหัวใจเข้าเป็นเอกภาพกับสนามแม่เหล็กดวงดาว
ของโลก(ที่มาของ จินตามยปัญญา..ปัญญาโดยสัญชาตญาณ
ที่พบได้ในสัตว์หลายชนิดที่รู้ภัยพิบัติธรรมชาติล่วงหน้า อย่าแปล
อย่างที่พวกพระปริยัติแปล..เพราะจะขัดแย้งกับหลักพุทธคุณ !!!)



Atthanij Pokkasap
11:17 น.ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔
วันเสาร์ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๗






Atthanij Pokkasap  มหัศจรรย์แห่ง ชีวฟิสิคส์(Bio-Physics)ของชีวิตสัตวบุคคล ที่พระพุทธศาสนาค้นพบ จึงแบ่งการทำงานของอวัยวะภายในตามหลักธาตุ ๔(ดิน น้ำ ไฟ ลม)และพลังงาน..ไม่ใช่แบ่งแบบวิชาชีววิทยาสมัยใหม่ที่ทำทฤษฎีพลังงานตกหายไปทั้งดุ้น


Piraphan Nonthaphan    แล้วเกี่ยวเนื่องกับต่อมไพนีล (เรียกถูกหรือเปล่าำม่แน่ใจค่ะ) อย่างไรคะ   จะเรียกว่าจุดกำเนิด ๔ จุดนี้คือธาตุ ๔ ของร่างกายหรือเปล่าคะ


Atthanij Pokkasap  เค้าเป็นโรงงานผลิตไฟฟ้าประจำลิ้นหัวใจทั้ง ๔ ห้อง ครับ อันที่
ปฏิบัติการโยคะของพระพุทธศาสนาประมาณว่าโตเท่าเมล็ดของดอกบุนนาค เป็น
"มโนวิญญาณธาตุ" ฐานผลิต "จิต" ให้เข้ามาเป็นผู้เสพย์.คลื่นพลังงานจากอายตนะทั้ง ๕ จนเกิดธัมมารมณ์ แล้วผลิตซ้อน "จิต" ผู้เสพย์ธัมมารมณ์อีกต่อหนึ่งเกิดเป็นอารมณ์ต่างๆสร้างเครือข่ายมอมเมากักขังจิต..เป็นกู พวกกูชุลมุนตามที่กำลังเป็นกันอยู่นี่งัย...


Atthanij Pokkasap  การตามหา จิต อัศวินผู้ขี่ม้า โดยที่ม้า คือ ลมหายใจเข้า+ลมหายใจออก ยากกว่า คาวบอยล่าม้าในยุคสร้างอเมริกา หลายร้อยเท่า แต่ สนุกกว่ามาก.ถ้าเรารู้ว่า ศักยภาพแห่งความเป็นมนุษย์ของเราเอง   มันยิ่งใหญ่พอๆกะ ดาราจักรทางช้างเผือก...ที่ประกอบด้วยดวงดาวมากกว่า ๔ แสนล้านดวง...วิทยาการปัจจุบันไม่เคยสอนให้มนุษย์มีสำนึกเคารพรักตัวเองกันเอาเสียเลย...



Mareep Nnag Yakkhanugann    ก็ตามอภิธรรมที่ว่าถึง "หทยวัตถุ" เป็นที่อาศัยเกิดของ "จิต"...ตั้งแต่กำเนิดในภูมิที่สัตว์ต้องอาศัยรูปเกิด...อย่างนี้เทวดามารพรหม(เฉพาะรูปพรหม)ยมยักษ์นาคาหรืออมนุษย์ทั้งหลายทั่วไปก็ต้องมีหทยวัตถุและมโนวิญญาณธาตุด้วยหรือเปล่า...คำว่ามโนวิญญาณธาตุเป็นชื่อเรียกรวมของจิตที่ทำหน้าที่ประเภทนี้???...


Atthanij Pokkasap  เทวดามารพรหมยมยักษ์ที่เป็นทิพยกายไม่มีหทยวัตถุ ภิกษุฆ่าอมนุษย์พวกนี้จึงอาบัติเป็นปาจิตตีย์ ไม่เป็นปาราชิกงัยครับ ความมีชีวิตของทิพยกายเป็นผล(Effect)เท่านั้น ไม่ใช่ตัวกำเนิด(ธาตุ) ก็เคยมีการสงสัยนะ..ว่า เทวดาเป็นโอปปาติกะ ไม่ได้เกิดในครรภ์ ทำไมเทวดาจะต้องมีสะดือด้วย? ก็คิดแบบมนุษย์น่ะ


Mareep Nnag Yakkhanugann    แสดงว่าพวกนี้ไม่มีลมหายใจด้วยหรือเปล่าครับ...ผมยังสังสัยว่าพวกนี้เขาปฏิบัติกรรมฐานกันเหมือนมนุษย์ได้หรือเปล่า...แต่ก็ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วก็สามารถบรรลุธรรมได้เลยด้วยหรือนั่นอาจจะเป็นเพราะได้บำเพ็ญมาอย่างเปี่ยมล้นแล้วเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ในชาติก่อนๆๆ...


Atthanij Pokkasap  เอฟเฟคส์ ที่มีการกระตุ้นเพิ่ม ก็พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ(เป็นพวกที่ไม่กลับมาสู่ตระกูล คือการเกิดอีก )เช่นเอกพีชีโสดาบัน พวกอนาคามีก็ใช่ครับ









No comments: