Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Sunday, September 10, 2023

พระพุทธศาสนากับจักรวาลฟิสิกส์สมัยใหม่ : Buddhism and the modern physics universe

 



   <<<พระพุทธศาสนากับจักรวาลฟิสิกส์สมัยใหม่>>>

 

   การกำเนิดจักรวาล

 

   ผู้เขียน -ในฐานะที่เรียนและทำงานในด้านวิทยาศาสตร์แห่งชีวิตในระดับของเซลล์มานาน

นั่นคือข้อมูลที่ให้ความสอดคล้องต้องกันอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ระหว่างคัมภีร์กาลจักร

(ผู้หมุนเวลา) ของวัชรยาน พุทธศาสนาของทิเบตกับจักรวาลวิทยาใหม่ความสอดคล้องต้องกันระหว่างประสบการณ์ตรงจากภายในของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามคำบอกเล่าที่เชื่อกัน

เมื่อกว่า 2500 ปีก่อนกับความรู้ว่าด้วยจักรวาลวิทยาใหม่ที่เพิ่งได้มาใหม่ๆเพียงเมื่อไม่กี่ปีมานี้

 

ซึ่งสำหรับผู้เขียน ข้อมูลที่พูดได้ว่าตรงกันโดยหลักการ ได้ก่อความสงสัยอัศจรรย์ใจว่าความจริงที่ได้มาจากทั้งสองเส้นทางในระยะเวลาที่ห่างกันหลายพันปีมันเกิดมาตรงกันในหลักการสำคัญๆได้อย่างไร? บทความวันนี้จะพูดถึงข้อมูลที่ตรงกันที่ว่านั้นเพื่อให้ผู้อ่านนำไปคิดพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของการได้มาซึ่งความจริงแท้ที่เป็นหนึ่งเดียวกันที่มาจากภายในและ

จากความเป็นสัพพัญญูของพระพุทธองค์ ที่ว่าไปแล้วก่อนตรัสรู้ พระองค์ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาๆคนหนึ่ง กับความรู้ที่ได้มาจากภายนอก หรือวิทยาศาสตร์

 

นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผู้เขียนมีความมั่นใจโดยปราศจากข้อสงสัยในสัทธรรมความจริงที่มี

หนึ่งเดียวของพระพุทธองค์ เอามาเขียนเล่าให้ผู้อ่านนำไปพิจารณาต่อเหมือนที่ วิลลิส ฮาร์แมน อดีตศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และอมิต โกสวามีนักฟิสิกส์แควนตัมแห่งมหาวิทยาลัยโอเรกอน ต่างกรรมต่างวาระ เอามาเขียน ที่ผู้เขียนนำมาเขียนและอ้างอิงให้ไว้แล้วในคอลัมน์นี้ จึงไม่อ้างซ้ำ อีกส่วนข้อมูลอื่นๆ ผู้เขียนได้มาจากหนังสือห้าเล่มจะอ้างอิงไว้ที่ท้ายของบทความนี้

 

คัมภีร์กาลจักรนั้นอ้างว่า หลังจากพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วหนึ่งปี ในกลางเดือนสามพระองค์

ได้ไปปรากฏที่เขาคิชกูฏและพร้อมกันนั้นก็ได้ส่งกายทิพย์ของพระองค์ไปที่มหาเจดีย์ของ

เมืองอมราวัตถี (มัทราส) ที่อินเดียตอนใต้ เพื่อแสดงความสำคัญของโพธิวิมุตติด้วย

ระบบกาลจักราตันตระ ซึ่งต่อมาได้บันทึกไว้เป็นภาษาสันสกฤต และแพร่ไปถึงทิเบตโดย

ภิกษุชูลีปะจากนาลันธะกับบัณฑิตที่ชื่อ นารถภัตชาวอินเดีย (ผู้มีชื่อเรียกหากันในทิเบตว่า

นาโรปะ) เมื่อปีพ.ศ.1026 ต่อมาคัมภีร์ที่เป็นภาษาสันสกฤตเล่มนั้นก็ถูกนำมาแปลเป็น

ภาษาทิเบตโดย โสมณะภัต ที่เป็นศิษย์ของ นาโรปะ

 

คัมภีร์กาลจักรเล่าว่าจักรวาลนั้นจริงๆแล้วเป็นอนันต์ (infinity) ไม่มีการเกิดการดับแต่จะให้ลูกหลานจากการพองๆยุบๆเรื่อยไป นั่นหมายถึงไม่มีเหตุที่ก่อผล ขณะที่จักรวาลที่มีโลกและสัตว์โลกอาศัยอยู่แห่งนี้เป็นเพียงหนึ่งของจักรวาลที่มีนับจำนวนไม่มีที่สิ้นสุด ชีวิตและมนุษย์รวมทั้งสรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวง ล้วนเกิดมาจากธาตุห้าธาตุ คือ ดิน น้ำไฟ ลม และอากาศธาตุ (อากาศธาตุถูกแยกเป็นสองธาตุในบาลีไตรปิฎกของเถรวาทเป็นที่ว่างหรือ

เรียกซ้ำว่า อากาศธาตุกับวิญญาณธาตุ) โดยมีดิน น้ำ ไฟ ลมที่ล้วนวิวัฒนาการขึ้นมาจาก

อากาศธาตุ (space element) เป็นความว่างเปล่า หรือสุญตา เป็นพื้นฐานที่มา

 

คัมภีร์กาลจักรบอกว่าอากาศธาตุนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นความว่างที่ไม่มีอะไรเลย หากจะประกอบด้วย "อนุภาคว่างเปล่า" (empty particles or space particles) ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่ให้กำเนิดแก่สสารอนุภาคที่รวมตัวกันเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม โดยที่อนุภาคว่างเปล่าเอง

ก็ประกอบด้วยอนุภาคที่มีความละเอียดอย่างยิ่ง ละเอียดจนประหนึ่งเป็นความว่างเปล่าอีกทีและเป็นอนุภาคว่างเปล่านี้เองที่ให้วิวัฒนาการ (ของลม ไฟ น้ำ ดิน) และวิวัฒนาการย้อนกลับ (สลายด้วยการดูดซึมกลับสู่ความว่างเปล่าของดิน น้ำ ไฟ ลม)ที่ประกอบเป็นรูปกายและพลังงานของจักรวาล (นี้) รวมทั้งชีวิตทั้งหลายทั้งปวง

หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า อากาศ (space) และอนุภาคว่างเปล่า (space particles) คือที่มาของกระบวนการทั้งหมดของจักรวาล คำว่าอนุภาคนั้น ในระบบกาลจักร ให้ความหมายที่ไม่ได้แปลว่าเป็นสสารเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงศักยภาพ (potentialities) ของความเป็นสสารหรือพลังงานด้วย

 

ฟิสิกส์จักรวาลวิทยาใหม่ให้ข้อมูลที่อาจชี้บ่งว่า จักรวาลมีจำนวนเป็นอนันต์ (infinity or multiverses) โดยงอก (budding) หรือให้ลูกหลานออกจากจักรวาลแม่ตลอดเวลา ที่ไร้สาเหตุ (non-local) สสารและ/หรือพลังงานรวมชีวิตและมนุษย์วิวัฒนาการขึ้นมาจากอนุภาคเทียม (virtual particles)ไร้มวลไร้พลังงานชั่วคราวที่ประกอบเป็นความว่างของที่ว่าง (และเวลา)

ที่มีศักยภาพให้อนุภาคจริงๆได้

 

ระบบกาลจักรบอกว่าการเกิดและการสลายของจักรวาลมีลักษณะเป็นวงจรหรือวัฏจักร

ที่ประกอบด้วยสี่ระดับหรือสี่ช่วงระยะคือหนึ่ง การเกิดของจักรวาล สอง การตั้งอยู่และ

การเปลี่ยนแปลงไป สามการสลายตัวของจักรวาล และสี่ ระดับหรือช่วงระยะแห่งความว่างเปล่าเมื่อดิน น้ำ ไฟ ลมสลายและถูกดูดซึมกลับสู่ความว่างและแล้วจักรวาลใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาจากซากของจักรวาลเก่าที่ซ่อนเร้นอยู่ในอนุภาคว่างเปล่านั้น

 

จักรวาลวิทยาใหม่ชี้บ่งว่าจักรวาลเกิดจากการสั่นสะเทือน (quantum fluccuation) ของพลังงานหลงเหลือจากการสลายตัวของจักรวาลเก่าสู่สภาพว่างทางแควนตัม (quantum vacuum) โดยเริ่มต้นด้วยอนุภาคเทียม ที่จะกลายเป็นอนุภาคจริง (real particle) หรือสสาร

ทีหลัง โดยนักฟิสิกส์ส่วนหนึ่งเชื่อว่ากระบวนการที่เป็นวงจรของจักรวาลวิทยาใหม่ (ขึ้นอยู่กับการหากฎแห่งความเป็นเอกภาพที่ยิ่งใหญ่ grand unified theory or GUT ที่รวมกฎทั้งหมดทางฟิสิกส์ให้พบ) จะประกอบด้วยสี่ช่วงระยะ คือ

 

หนึ่ง ซิงกูลาริตี้ เมื่อกฎและสมการทางคณิตศาสตร์ล่มสลายไปทั้งหมดและเกิดการระเบิด

ที่เรียกกันว่า บิ๊กแบง จากการสั่นสะเทือนของพลังงานหลงเหลือที่ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่าทางแควนตัมที่ว่านั้น

สอง การดำรงอยู่ของจักรวาลที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

สาม การสลายตัวของจักรวาลบิ๊กครันช์หรือบิ๊กฟรีซ (big crunch or big freeze)

โดยการรวมตัวกันของหลุมดำที่อยู่ในใจกลางของกาแล็กซีหรือที่อี่นใด

และสี่ ความว่างเปล่าทางแควนตัม เมื่อสสารและพลังงาน (ซากของจักรวาลเก่า)ถูกดูดซึมกลับสู่ความว่างนั้น

 

คัมภีร์กาลจักรยังบอกต่อไปด้วยว่า แม้ว่าจักรวาลนี้เองก็มีความกว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง

โดยใช้คำว่าพันล้านเท่าของจำนวนโลก หรือจำนวนของโลกที่คาดคิดไม่ได้ยกกำลังสอง (square untold) ในมัชฌิมจักรวาล (กาแล็กซี)ของเราเองก็มีระบบดาวที่เกิดใหม่และระบบดาวที่ตายไปตลอดเวลา และระบบสุริยะของเราก็เกิดมาด้วยกระบวนการนั้นดาวทั้งหมดรวมทั้ง

ดาวเคราะห์หรือโลกล้วนมีลักษณะทรงกลมแขวนโคจรอยู่ในที่ว่างของอวกาศ (empty space)

 

ฉะนั้น จากคัมภีร์ที่มีในช่วงแรกๆของพุทธศาสนาจึงไม่เพียงแต่กล่าวถึงระบบโลกที่มีมากมาย (multiple world systems) หรือมีมากยิ่งกว่าเม็ดทรายที่เรียงรายอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาเท่านั้นหากยังระบุว่าระบบดาวแต่ละระบบมีการเกิดใหม่และมีการดับสลายตลอดเวลา โดยผ่านวัฏจักร (a cycle of an aeon) สี่ช่วงระยะ หรือสี่ยุค (era)

ว่าไปแล้วโดยหลักการรวมทั้งบางครั้งแม้ในรายละเอียดจักรวาลวิทยาของพุทธศาสนา

โดยเฉพาะที่บันทึกไว้ในกาลจักราตันตระนั้นไม่ได้มีความแตกต่างจากจักรวาลวิทยาที่ตั้งบนฟิสิกส์ใหม่หรือวิทยาศาสตร์ใหม่ในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ นั่นคือจักรวาลทั้งหลายทั้งปวงนั้น

ไม่มีการเกิดและการดับอย่างสิ้นสูญไปจริงมีแต่การไหลเลื่อนเปลี่ยนแปลงไปไม่รู้จบ

 

นักฟิสิกส์ยุคใหม่ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่มักเชื่อในหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างที่ มิชิโอะ กากุ

ที่อ้างอิงถึงข้างท้ายของบทความนี้ว่า จักรวาลมีความเป็นอนันต์ (multiverses) - เกิดใหม่และดับสลายไป – แบบไม่มีความจบสิ้นโดยมีจักรวาลของเราเฉพาะจักรวาลที่มนุษย์เราอาศัยอยู่

ทุกวันนี้เป็นหนึ่งในนั้น

 

ยิ่งไปกว่านั้น มิชิโอะ กากุ ยังกล่าวต่อไปว่า พุทธศาสนาบอกว่าจักรวาลไม่มีเกิด ไม่มีดับเป็น

วัฏจักรของวิวัตตาและสังวิวัตตา - มีบิ๊กแบงที่ไม่มีการจบสิ้น นั้นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง

เพราะพุทธศาสนาหมายถึงจักรวาลที่เป็นทั้งหมด (multiverses) จึงไม่มีความจบสิ้น

ส่วนศาสนาอื่น เช่น คริสต์ศาสนาที่บอกว่ามีการสร้างจักรวาลนั้นก็เป็นเรื่องถูกต้องอีกเหมือนกัน เพราะเป็นการกล่าวถึงเฉพาะจักรวาลนี้หรือจักรวาลของมนุษย์ที่มีการสร้างขึ้นหลังจากที่มี

การระเบิดบิ๊กแบงเพียงครั้งเดียว

 

อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากจักรวาลแห่งรูปกายและปรากฏการณ์ที่ดูจะตรงกันระหว่างข้อมูลของกาลจักราตันตระกับข้อมูลจักรวาลวิทยาใหม่ในทางวิทยาศาสตร์ แต่เนื่องจากหลักการและวิธีการของวิทยาศาสตร์ต้องจำกัดตัวเองโดยการพิสูจน์ในห้องทดลองและ/ หรือสนับสนุนด้วยสูตรและสมการทางคณิตศาสตร์ผ่านประสาทสัมผัสภายนอกที่รับรู้ด้วยจิตรู้อีกที

 

ดังนั้น วิทยาศาสตร์จึงต้องทิ้งเรื่องของจิต (consciousness) หรืออย่างดีสามารถแตะได้เพียงบางส่วนบางตอน (ของ mental pathway) ที่เล็กน้อยเท่านั้น ทำให้เรื่องของจิตส่วนใหญ่โดยเฉพาะเรื่องจิตวิญญาณจะดำรงอยู่นอกวิทยาศาสตร์ ในขณะที่ศาสนารวมทั้งระบบกาลจักรอธิบายเรื่องของจิตจากประสบการณ์ภายในของผู้ปฏิบัติศาสนาถึงระดับวิมุตติประสบการณ์ที่สาธารณชนคนทั่วไปจะต้องเลือกว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ

 

ฉะนั้นเองเรื่องของจิตทั้งกระบิ สติ เวทนา สัญญา - รวมทั้งจิตรู้ ที่ประกอบเป็นความคิดมโนทัศน์ทั้งหลายทั้งปวงที่ส่วนหนึ่งวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาหรืออธิบายดังที่กล่าวมาข้างบนและ

เรื่องของจิตไร้สำนึก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกหรือเป็นเรื่องจิตเหนือสำนึกที่เป็นธรรมจิต จึงเป็นประสบการณ์ที่ได้จากเส้นทางภายในหรือศาสนา

 

พุทธศาสนาและกาลจักราตันตระล้วนพูดถึงความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกำเนิดของจักรวาล (นี้) กระทั่งวิวัฒนาการของโลกแห่งสสารและโลกแห่งชีวิต -สัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวงรวมทั้งมนุษย์ - กับวิวัฒนาการของจิต หรืออีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าพุทธศาสนาบอกว่า

กำเนิดของจักรวาล (นี้)มีขึ้นมาได้ก็เพื่อให้สัตว์โลกและมนุษย์สามารถวิวัฒนาการตามขึ้นมาได้และวิวัฒนาการทางกายภาพมีขึ้นมาก็เพื่อให้จิตเข้าไปอาศัยอยู่และเรียนรู้โลก เรียนรู้ตัวเองและความสัมพันธ์ระหว่างกันและรวมทั้งการเรียนรู้จักรวาลหรือสัทธรรมความจริงได้ ซึ่งตรงกับจักรวาลวิทยาใหม่ที่อธิบายว่าจักรวาลนี้มีขึ้นมาก็เพื่อมนุษย์สามารถมีขึ้นมาได้และสุดท้ายก็สามารถเรียนรู้ตัวเองรู้จักรวาลได้ (cosmological anthropic principle)

 

เพราะฉะนั้นเอง จักรวาลวิทยาของพุทธศาสนาจึงพูดถึงกฎหรือกลไกที่บริหารและควบคุมวิวัฒนาการของจักรวาลโลกและภพภูมิต่างๆรวมทั้งสัตว์โลกรวมทั้งมนุษย์และสังคมของมนุษย์ว่า มีอยู่ด้วยกันสองกฎหรือสองกลไกซึ่งจะมีปฏิสัมพันธ์กันและกัน นั่นคือ กฎแห่งกรรมกับกฎแห่งการเป็นเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน หรือ อิทัปจยตา ในขณะที่จักรวาลวิทยาที่เป็นวิทยาศาสตร์จะรู้จักและเน้นเฉพาะประเด็นหลังประเด็นเดียว (self - organizing principle).

 

(Dalai Lama : The Universe in a Single Atom, 2006

; Jeffrey Hopkins : Kalchakra Tantra, 1989; Francisco Valera,ed.

The New Physics and Cosmology, 2003;

Michio Kaku : Parallel Worlds, 2005;

Brian Greene : The Fabric of Cosmos, 2004)

 

Atthanij Pokkasab  อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของพระไตรปิฎก โดยเฉพาะข่ายใยถักประสานที่ปรากฏอยู่ในเถระ เถรีคาถา และอัปทาน

จะเห็นการเชื่อมต่อของพระพุทธศาสนา ระหว่าง สองพุทธันดรกัป คือ พุทธันดรกัปของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า กับพุทธันดรกัปของโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

ชัดเจนว่า..เป็นปรากกการณ์เชิงซ้อนของเวลาขนาดใหญ่

 

เมื่อนำไปเป็น อรรถะ ประกอบแผนภาพไตรภูมิ จะเห็นชัดยิ่งๆขึ้นไปอีกว่า

จักรวาลและปรากกการณ์เวลาที่ประสบการณ์การค้นพบของพระพุทธศาสนานั้นเป็นโครงสร้างแบบควอนตัม...

และแต่ละเหตุการณ์จะเลื่อนไหลต่อเนื่องเป็น Ossillates ...คลื่น.......ปรากฏการณ์!!!

 

Pee Yakkhanugann   แรงบันดาลและจินตนาการก่อกำเนิดไปจากหลักธรรมแห่งพระพุทธศาสนาทั้งนั้น...


Atthanij Pokkasab  ใช่..Ossillates of Quantum Psychics...!!!

ฝรั่งและชาวพุทธสมัยใหม่ทั้งหมดจะไม่มีวันเข้าใจ สนามเวลาในคลื่นภวังคจลนะ...

ที่เป็นคลื่นเเห่งปรากฏการณของจักรวาล ถ้ายังไม่รู้เรื่อง แผนภาพไตรภูมิ ครับ

อานิสงส์แห่งบุญกุศล และบาปอกุศล..ของจิตหลากดวง นี้เองที่ทำให้จักรวาลต้องปรากฏ

ตอบแค่นี้งงดิครับ..

 

เพราะมหามนุษย์ผู้สร้างอาณาจักรครอบโลก คือ

จักรพรรดิ..ค้นพบเฉพาะพระพุทธศาสนา..ศาสนาเดียว งัย

จักรพรรดผู้ครองโลกเป็นอานิสงส์ทำบุญกับพระพุทธเจ้าเท่านั้น..

อย่าลืม..โลกคือเศษกรรมที่ดำรงอยู่

กากสมบัติของมหาจักรพรรดิ

มหาสมุทรอินเดีย..จักรรัตนะ อยู่ในมหาสมุทรอินเดีย

ทุกอย่างก็อยู่ในมหาสมุทรอินเดีย...

 

Pee Yakkhanugann   ตามหลักการเวียนว่าย...

เราทุกคนเคยหรือมีโอกาสได้เข้าถึงการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแล้วใช่มั้ยครับ...

หรือต้องรอคอยในอนาคตอยู่...

ถ้านี่คือผลเป็นการเรียนรู้ธรรมในระดับโลกแห่งกามคุณที่ถือว่ายิ่งใหญ่...


Atthanij Pokkasab  คงบางคนนะครับ...คนจนผู้มีจิตใจยิ่งใหญ่ ถ้ามีหลงเหลือก็นั่นแหละ...

จิตใจยิ่งใหญ่จะเป็นสันดานไปทุกภพทุกชาติ..

พวกขี้เหนียวทั้งแผ่นดินมันไม่มีโอกาสเป็นหรอก

 

No comments: