Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Friday, September 9, 2016

๗๘.Buddha-Dharma-Sangha-Science-Fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-Religion-Language-Math-Mind-Universe-Meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food=Good Life Health.




78.พระพุทธเจ้า - พระธรรม - พระสงฆ์ - วิทยาศาสตร์ - นิยาย - มวยไทย - ประวัติศาสตร์ - โหราศาสตร์ -ไสยศาสตร์ - ศาสนา - ภาษา - คณิตศาสตร์ - จิต - จักรวาล - สมาธิ - โยคะ - ดนตรี - ศิลปะ - เกษตรกรรม - สมุนไพร - อาหาร = สุขภาพและชีวิตที่ดีงาม

















ปฏิบัติการโยคะจากพระโอษฐ์
มาเรียนรู้ "พระกรรมฐาน" จากพระไตรปิฎก
กันครับ
ตอนที่ ๒. พุทธนิยาม ความหมายของ "จิต"

พระพุทธเจ้าผู้ทรงคุณประเสริฐสูงสุด ได้ทรงให้นิยาม ความหมายของ "จิต" 
ไว้เป็นพระสูตร ชื่อ "อัสสุวตาสูตร"...ในนิทานวรรค หมวดสังยุตตนิกาย
อัสสุวตา...แปลว่า วัฏฏะของน้ำตาแห่งความเศร้าโศกเสียใจ
จากการเดินทางของชีวิต ที่หาที่สิ้นสุดมิได้
(อนมตัคคสังสารวัฏ.. Anamataggasamsaravatta)
ซึ่งมีปริมาณมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งหมด
หมายถึง น้ำตาที่สั่งสมมาตลอดที่ได้เวียนเกิดเวียนตาย

ด้วยจำนวนที่นับเป็นกัปกัลป์ ซึ่งเป็นอายุของ แต่ละช่วง
ของดาราจักรทางช้างเผือก(แสนโกฏิโลกธาตุ หรือ ๑๐ แสนล้านดวง)...
ตามการพิสูจน์ในบทของ "สติ"ว่าด้วยการระลึกชาติ(บุพเพริวาสานุสติญาณ)

ในอัสสุวตาสูตรนี้ จะเห็นชัดเจนว่า
พระพุทธเจ้า ทรงเรียก จิต มโน วิญญาณ
ในฐานะ "งาน" ที่สำเร็จจากนามรูป คือมหาภูต ๔ ที่ประกอบด้วยชีวิต ไม่ใช่ แค่ร่างกาย
ไม่ใช่แค่ความรู้สึก

อ่านและคิดตามพระพุทธวจนะ ใน อัสสุตวตาสูตร
นี้ ซ้ำๆหลายๆรอบ ครับ
เพราะ...ทึ่เราเรียนรู้ตามๆกันมาทั้งหมด ในปัจจุบัน
ผิด ไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า
หมดเลย !!!



                                                                                                 ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐


* Story & Photos by  Atthanij Pokkasap



No comments: