Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Monday, December 31, 2018

กำเนิดมนุษย์ โดยการค้นพบของพระพุทธศาสนามี ๒ ภาค




Atthanij Pokkasap 



กำเนิดมนุษย์
โดยการค้นพบของพระพุทธศาสนา
มี ๒ ภาค


ภาคที่ ๑ 
กำเนิด ๔ หรือหมวดธรรมที่เรียกว่า "โยนิ ๔" ปัจจุบันรู้จักสถานภาพเดียว.. คือ การถือกำเนิดจากครรภ์(ชลาพุชะ) เป็นกำเนิดระดับที่ ๓
ระดับที่ ๑ สูงสุด เรียกว่า โอปปาติกะ
ระดับที่ ๒ เรียก "สังเสทชะ" ที่แปลผิดพลาดมาตลอดหลายชั่วคนแล้ว
และ ระดับ ๔ เรียก "อัณฑชะ" คือ กำเนิดจากไข่
ระดับ ๑, ๒ และ ๔ นั้น ความรู้ทางธรรมภาคไทยคลาดเคลื่อนทั้งหมด
ในกำเนิดแบบ "ชลาพุชะ" มีรายละเอียดเป็นพระพุทธวจนะ เรียกว่า "อินทกสูตร"
อยู่ข้อ (๘๐๒-๘๐๓)สคาถวรรค สังยุตตนิกาย พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่ม ๑๕/๔๕
ผู้สนใจจริง เสิร์ช จากคอมพ์ฯ ศึกษารายละเอียดได้


ภาคที่ ๒
กำเนิดแบบ "จุติ-อุบัติ"จาก "ธุลีธาตุแสงสว่างแห่งดวงดาว" ที่ศัพท์เทคนิคพระพุทธศาสนาเรียกเป็นการเฉพาะว่า "อาภัสสรพรหม" ลงมากินง้วนดิน.....
รายละเอียด เป็นพระพุทธวจนะ อยู่ใน "อัคคัญญสูตร" ปาฏิกกวรรค ทีฆนิกาย
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่ม ๑๑/๔๕

ความรู้ที่พอจะทำให้เข้าใจพระพุทธวจนะใน "อัคคัญญสูตร" ได้ คือ วิชา "เซลล์วิทยา"...ตอน แรงไฟฟ้าเคมีชีวภาพ ๑ หน่วยจากกระบวนการลมหายใจภายใน(หัวใจสู่เซลล์เม็ดเลือด) ที่ต้องเข้าไปควบคุม. ..แรงนิวเคลียร์ชนิดเข้มภายในธาตุคาร์บอน ๑๐๐ หน่วย เพื่อสังเคราะห์เป็นอินทรียสารพื้นฐาน(กรดอมิโน)สร้างอินทรียสารกลุ่มตัวชีวิตขึ้นมาชนิดวินาทีต่อวินาที



วิชาจิตสรีรศาสตร์ฝ่ายพุทธ...
ที่ซ่อนอยู่ใน "เหตุเกิดแห่งทุกข์(ทุกขสมุทัย)"
ในอริยสัจจ์ ๔ ไม่ใช่มีแต่เพียง หัวข้อ...
ให้มักง่ายโดยท่องแบบนกแก้วนกขุนทอง
แล้วบรรลุธรรมกันเป็นฝูงๆ...
ครับ !!!





Atthanij Pokkasap  จิต และความรู้สึก...พี่ไทยยังใช้มั่วผสมสิบไม่เลิกวง อยู่นะครับ...


Atthanij Pokkasap  และพวกที่เอาความไม่มีสมองของตัวมันเอง ไปยัดเยียดว่าผู้อื่นเขา
งมงายอย่างหนึ่ง ไม่รู้สาระแท้ของศาสนาอีกอย่างหนึ่ง...พวก อัปปัสสุตชน...พวกไม่มีการศึกษาล้วนๆ แล้วอุปโลกน์ตัวเองกัน..ทั้งนั้น ครับ


กรรมที่ออกแบบปากสัตว์ๆในชีวิตถัดไป เรียกว่า วจีทุจริต ๔



Atthanij Pokkasab

28 ตุลาคม


#กรรมที่ออกแบบปากสัตว์ๆในชีวิตถัดไป

เรียกว่า #วจีทุจริต๔

หนึ่ง. #มุสาวาท 
พูดจาโกหก พูดคำเท็จ พูดคำไม่จริง พูดสัปลับ พูดกลับไปกลับมาคือกรรมในการออกแบบให้ปากในอนาคตไม่เข้ากับรูปใบหน้า บิดเบี้ยวไปคนละทิศคนละทาง ปากหนาบางไม่ได้สมมาตร

สอง. #ปิสุณาวาจา
พูดจาส่อเสียด พูดแดกดัน พูดให้เกิดความเข้าใจผิดในระหว่างกัน ให้เกิดการแตกแยกทะเลาะกัน
เป็นกรรมเครื่องออกแบบให้เกิดโรคเหม็นเน่าเรื้อรังในช่องปาก มีซี่ฟันผิดรูป เกิดขนแหลมทิ่มแทงตนเอง(สูจิโลมะ) ชีวิตถัดมามักต้องศัสตราวุธของแหลมของคม โดนบาด โดนปัก โดนทิ่ม โดนแทงด้วยของมีคมต่างๆเป็นปกติประจำของชีวิต

สาม. #ผรุสวาท
พูดคำหยาบ พูดจาหยาบคาย พูดคำสบถ
เป็นกรรมเครื่องออกแบบให้ปากกับจมูกผิดรูป เป็นเทวดา(เวมานิกเปรต, มหิทธิกาเปรต)ก็จะมีชื่อว่า สูกรมุข คือเทวดาปากหมู เปรตปากหมู ใช้กึ่งปากกึ่งจมูกเป็นเครื่องดุนหาอาหาร

สี่. #สัมผัปปลาปะ
พูดจาเพ้อเจ้อ พูดเรื่อยเปื่อย พูดแต่เรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตน แก่ผู้อื่น
เป็นกรรมเครื่องออกแบบให้ปากแหลม ปากยื่นยาว(สูจิมุข) มีโรคเรื้อรังในช่องปาก ในช่องท้อง
ประมวลทั้ง๔วจีกรรมนี้เข้ากับบุญกุศลนิดหน่อย เป็นกรรมเครื่องออกแบบให้ไปสู่ เปรตวิสัย อสูรพิภพ จะได้เป็นเปรตาสูร มีผิวพรรณดี มีปากกับตูดอยู่ที่เดียวกันบนกระหม่อม
ในติรัจฉานโยนิ ก็คือ หมู หมา กา ไก่ สัตว์มีผิวกายเป็นเกล็ด สัตว์ปีกปากแหลมทั้งหลาย


ของความเจริญในกรรมแห่งวจีทุจริต 
จงประจักษ์แก่สังคมในขณะนี้โดยพลัน
เทอญฯ
(โดยเฉพาะพวกที่โกหกเพราะสำคัญตนว่า ตนเองและพวกเป็นเจ้าของประเทศ!!!)

อานิสงส์ขั้นพื้นฐานของกักลมอัสมิตา



Atthanij Pokkasab

#อานิสงส์ขั้นพื้นฐานของกักลมอัสมิตา

ผู้ฝึกกักลมอัสมิตา...( ๑ )
โปรด ตรวจสอบด้วยตนเอง ๓ ข้อ ...

ข้อที่ ๑. มีลมหายใจที่ ลึก ยาว ขึ้น

ข้อที่ ๒. มีผิว ลื่น เนืยน ผ่อง ละเอียดขึ้น

ข้อที่ ๓. มีกำลังกาย ที่ แข็งแรง ขึ้น

มีครบ ๓ ข้อ นี้ แสดงว่า ฝึกตนมาถูกทาง แล้ว
(มีผล เป็นปรากฏการณ์ ๓ ข้อชัดเจน ต่อเมื่อมีระดับ
กัก -กลั้น-อัด ที่ ๔๐/๔๐, ๖๐/๖๐,...+ ขึ้น นะครับ)

ขอ แสดง สาธุการ ด้วยครับ
"ครูนิช" Atthanij Pokkasab
19:30 น.
แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๓
พุธ 22 กุมภาพันธ์ 2560(2017)

อนาคตของอดีตอ่าวแห่งสยามปัจจุบันอ่าวไทย


อัตถนิชย์ โภคทรัพย์
23 สิงหาคม
#อนาคตของอดีตอ่าวแห่งสยามปัจจุบันอ่าวไทย


มันจะมาเร็วๆนี้ ตามหลักสถิติ อ่าวไทยยังไม่เคยโดนสึนามิเที่ยวนี้จะเอี่ยวด้วยรึเปล่าครับพี่ท่าน?


อ่าวไทยหรืออ่าวสยาม
สร้างขึ้นจากบุญกุศล จะไม่มีสึนามิใดมาถึงได้
แต่ลมบาปหนาจะเป็นพายุสลาตันขนาดยักษ์
เกือบๆเหมือนเฮอริเคน สามารถก่อตัวขึ้นมาเอง
ลมพายุจะอุ้มน้ำพัดเข้ามากวาดล้างจมทุกเมือง
ขยายปากแม่น้ำเจ้าพระยา
ให้กลับคืนเป็นอ่าวลึกเหมือนเมื่อ 1,300 ปีก่อน
ที่แผ่นดินไหวใหญ่ล่มอารยธรรมทวารวดี
แล้วได้ทำให้ดินปากอ่าวงอกขึ้นมา....
ในระยะเวลาอีกไม่นานนี้
ก็ใกล้ถึงเวลาที่ดินปากอ่าว
ต้องจมตัวกลับคืนใต้อ่าวแล้ว ครับ.

ความรู้เรื่องจิตสำหรับชาวกักลมอัสมิตา



Atthanij Pokkasab

28 สิงหาคม 2017


#ความรู้เรื่องจิตสำหรับชาวกักลมอัสมิตา
#ปุจฉา...ใคร คือ "เรา",ฉัน,กู,ข้า ...ฯลฯ ?
#วิสัชนา...ความรู้สึกนึกคิดอยากมีอยากเป็นอยากได้
ความอยากที่กลัวน้อยหน้าเขา กลัวไม่มีอย่างเขา และ
อยากดีอย่างเขา และ/หรือดีกว่าเขา พระพุทธศาสนา
เรียก กำลังขับเคลื่อนความกลัวความอยาก ความ
ทะยานอยาก นี้ว่า...
#อัสมิมานะ ...ผู้แสวงหา หรือ ความเป็นลิงของจิต
โดยศัพท์เท็คนิค เรียกกำลังแห่งการแสวงหารวมๆว่า...
#กิเลส๓ ประกอบด้วย ราคะ-โทสะ-โมหะ
และเรียกโดยลักษณะโครงสร้างของพฤติกรรม มี
ลำดับจากหยาบไปหาละเอียดสุด ดังนี้..

#อุปกิเลส๑๖ เป็นโครงสร้างเหมือนกิ่งไม้นานาขนาด
ที่กระจายอยู่ในป่ากว้างที่ ลิงคือจิต ต้องคอยยึดโหน
เกาะห้อยไปมา และใช้เป็นที่อาศัย
(รายละเอียดทั้ง ๑๖ ให้ค้นเองในพจนานุกรมพระพุทธศาสนา)
การกำจัดขัดเกลากิ่งไม้รกในป่ากว้างเหล่านี้
ท่านให้ใช้...
#กุศลกรรมบถ๑๐

#สังโยชน์๑๐ เป็นโครงสร้างเหมือนสารแขวนลอย สารปนเปื้อนที่กระจายในน้ำสะอาด
(รายละเอียดทั้ง ๕ เบื้องสูง ๕ เบื้องต่ำให้ค้นเองฯลฯ)
การกำจัดขัดเกลาสารแขวนลอย สารปนเปื้อน พวกนี้
ท่านให้ใช้...
#ศีล๕ศีล๘ฝึกอบรมกาย ประกอบ....
#กรรมฐาน๔๐ตามจริตฝึกกอบรมจิต

#อนุสัย๗ เป็นโครงสร้างเหมือนตะกอน เหมือนเลนตมที่นอนก้นให้ห้วงน้ำใหญ่แห่งวัฏสงสาร เป็นสันดาน
ลึกสุดในจิตที่ประกอบกายสร้างกรรมทั้งหลายใน
ขณะปัจจุบัน
การกำจัดตะกอน เลนตมทีนอนก้นเหล่านี้
ท่านให้ใช้.....
#สูงที่สุดของกรรมฐาน๔๐ คือ...
#พระอานาปานสติสมาธิฝึกอบรมทั้งกายและจิต
ไปพร้อมในขณะเดียวกัน เพราะ.....
#การสงบรำงับกายสังขาร ซึ่งเป็นขั้นที่ ๔ ในพระ
อานาปานสติสูตร ก็คือการบรรลุ ฌานที่ ๔(จตุตถฌาน)ขั้นสูงสุดของ...สัมมาสมาธิ ในอริยมรรคมีองค์๘(อัฏฐางคิกมรรค) ซึ่งจะอุบัติขึ้นพร้อมๆกับ
#การหลีกออกเร้น(ปฏิสัลลีนา)ซึ่งหมายถึง การยุติ
การแสวงหาทั้งปวง และเป็นการ ละอัสมิมานะ ด้วย
Cr.ข้อ ( ๓๘)ปฏิสัลลีนสูตร จตุกกนิบาต อังคุตรนิกาย
ไตร.หลวง เล่ม ๒๑/๔๕

โดย ตะกอนเลนตมสำคัญของอนุสัย ๗
ซึ่งมี ๓ กลุ่มหลัก ถูกขจัดได้ด้วย จิตขณะสมาธิ ดังนี้..
#อนุสัยแห่งราคะ(ราคานุสัย) ละได้ด้วยคุณภาพจิต
ประกอบกาย ระดับ ฌานที่ ๑(ปฐมฌาน-กายิกาพรหม)ของสัมมาสมาธิ
#อนุสัยแห่งโทสะ(ปฏิฆานุสัย) ละได้ด้วยคุณภาพจิต
ประกอบกาย ระดับ ฌานที่ ๓ (ตติยฌาน-สุภกิณหพรหม)ของสัมมาสมาธิประกอบเท็คนิคพิเศษเฉพาะชั้นแห่งฌาน เรียก เท็คนิคพิเศษเฉพาะชั้นแห่งฌาน
ของฌานที่๓ นี้ว่า...
#วิโมกข์๘
#วิโมกข์๓
#อนุสัยแห่งความไม่รู้ทั้งปวง(อวิชชานุสัย)ละได้ด้วย
คุณภาพจิตประกอบกาย ระดับ ฌานที่ ๔(จตุตถฌาน)แห่งสัมมาสมาธิ
Cr. ข้อ(๕๑๑)จูฬเวทัลลสูตร มูลปัณณาสก์
มัชฌิมนิกาย ไตร.หลวง เล่ม ๑๓/๔๕

การจัดระเบียบลมหายใจ ชื่อว่า...
#การอบรมกาย เท็คนิคจัดระเบียบลมหายใจชื่อว่า..
#กักลมอัสมิตา
การตามศึกษาอันเนื่องจากลมหายใจมีระเบียบดีแล้วนั้น ตามหลักพระอานาปานสติสูตร ชื่อว่า...
#การอบรมจิต
เป็นการฝึกละ... เรา ฉัน กู ข้า...ฯลฯ ไปสู่...
#สติ ผู้เห็นการปรากฏ
#จิต ผู้ปรากฏเพราะลมหายใจสงบระงับด้วยระเบียบ
ที่ถูกฝึกดีแล้ว
ชาวกักลมอัสมิตาจึงมีความรอบรู้(ปฏิสัมภิทามรรค ๔)ประกอบ....
โลกียอภิญญามาโดยมรรค ได้แก่การแพทย์ การนวดแผนโบราณ ตลอดจนเท็คโนโลยีดึกดำบรรพ์ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ตามที่หลายๆท่านกำลังได้เผชิญหน้ากันอยู่ เป็นสังคมภายใน....นั้นแล๚๛

Einstein wrote: “A human being is a part of the whole, called by us 'Universe'. He experiences himself, his thoughts and feelings as something separated from the rest."



Atthanij Pokkasab

28 ธันวาคม เวลา 06:27 น.
ในประสบการณ์วิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ฟิสิคส์ ระบบทุนนิยม;Capitalism ..ไม่มีโครงสร้างใดๆ ที่เป็นวิทยาศาสตร์เลยแม้แต่นิดเดียว
Capitalism เป็นลัทธิ #เดียรถีย์ แห่งวิทยาศาสตร์ธรรมชาติโดยตรงด้วยซ้ำ.

Einstein wrote: “A human being is a part of the whole, called by us 'Universe'. He experiences himself, his thoughts and feelings as something separated from the rest."

บทความนี้ดีมากๆ
ท่านกล่าวถึง "ประโยชน์ตน-ประโยชน์ท่าน" อย่างชัดเจน
ไม่ใช่แบบว่า "กำไรและผลประโยชน์ต้องเป็นของกรู ที่เหลือในการเก็บกวาดแก้ปัญหา...เป็นเรื่องของเมิง"
ใครมีเวลา อ่านให้หมดนะครับ มีอะไรดีๆแยะเชียว
...อ่ะ...แปลมาให้แระ >>>

นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ฅนนี้ ไม่เคยเห็นข้อดีของระบบทุนนิยมเลยแม้แต่น้อย เขามองว่าระบบใดๆก็ตามที่ทำให้คนเกิดความขัดแย้ง-แข่งขันกัน ก็คือระบบที่ทำให้มนุษย์แปลกแยกออกห่างไปจากธรรมชาติรอบตัวด้วย
ผู้ฅนเคยใช้ชีวิตร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ซึ่งระบบสังคมในกลุ่มเล็กๆนั้นจะดูแลสมาชิกในกลุ่มได้เป็นอย่างดี
"แต่ช่วงเวลาอันสุขสงบเหล่านั้น ได้หมดสิ้นไปแล้ว เมื่อแต่ละฅน หรือแต่ละกลุ่มเล็กๆเหล่านั้นสามารถไปถึงจุดที่ "พึ่งตนเองได้" อย่างแท้จริง" ไอน์สไตน์กล่าว !!!!
พวกเราอยู่ในระบบเศรษฐกิจสังคมแบบโลกาภิวัฒน์ ซึ่งแต่ละฅนต่างแก่งแย่งกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร ที่อยู่ และงาน.
"แต่ละคนจะตระหนักดีถึงความผูกพันกับระบบสังคมอย่างขาดไม่ได้ แต่กลับไม่เฉลียวใจเลยว่าความผูกพันเหล่านั้นไม่ได้เป็นไปในทางเจริญขึ้นแก่ชีวิต หรือความมั่นคง หรือสอดคล้องกับธรรมชาติ เพราะความผูกพันที่เป็นอยู่ขณะนี้คือ "พันธนาการ" คือภัยที่คุกคามทุกผู้ฅน ภัยที่กระชากสิทธิตามธรรมชาติของแต่ละบุคคลออกไปจนไม่เหลืออะไร" ไอน์สไตน์กล่าว "ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมสามานย์ที่กำลังดำเนินไปอยู่ในโลกขณะนี้ - ในความเห็นของผม - มันคือต้นกำเนิดของจอมมารตัวจริง"

โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น แม้จะมีการแข่งขันกันอยู่ในที แต่ก็จะยื่นมือให้ความช่วยเหลือผู้อื่นไปด้วย(เกิดเป็นสังคมพึ่งพา) แต่ระบบทุนนิยมกระตุ้นให้เกิด "การแข่งขันเพื่อแก่งแย่ง" และทำลายความเกื้อกูลอันดี ทำให้ความสัมพันธ์ในสังคมขาดสะบั้น
"ทุกผู้คนในโลกขณะนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดของสังคม, ก็ได้รับผลกระทบจากการล่มสลายของความสัมพันธ์อันดีนี้ ทุกคนถูกจองจำด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยอัสมิมานะของตนเองอย่างไม่รู้สึกตัว - ให้อยู่ในสถานะที่เปล่าเปลี่ยววังเวงไม่ปลอดภัย ออกห่างจากชีวิตที่เรียบง่ายและเป็นสุข" ไอน์สไตน์กล่าวต่อไว้ในบันทึก
แทนที่จะมีชีวิตอยู่กับสังคมที่เกื้อกูลกัน, ระบบทุนนิยมกระตุ้นให้นายทุนเข้ามาครอบครองอำนาจเพื่อเป้าหมายเพียง "กำไร"
"การผลิตทุกอย่างเป็นไปเพื่อกำไร, ไม่ใช่เพื่ออรรถประโยชน์ในการใช้งานจริง" ไอน์สไตน์เน้นย้ำ "จำนวนคนว่างงาน-ตกงานยังมีเป็นกองทัพให้เห็นโดยทั่วไป...ผลของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เห็นได้ชัดคือผู้ฅนตกงานมากขึ้นๆ ไม่ใช่การแบ่งเบาภาระในการทำงานหรือทำให้ชีวิตลูกจ้างดีขึ้นแต่อย่างใด"

ระบบการศึกษาเองก็ยิ่งส่งเสริมให้การแข่งขันเป็นไปอย่างผิดธรรมชาติ
"การปลูกฝังจิตสำนึกแห่งการแข่งขันแก่นักเรียนในสถานศึกษา การสอนให้เคารพยกย่องผู้คนที่ประสบความสำเร็จแต่ในด้านวัตถุ คือผลงานอันเยี่ยมยอดของจอมมารทุนนิยมนี้" ไอน์สไตน์กล่าวต่อไว้ในบันทึก (ระบบการศึกษามีแต่เรื่องอันเป็นเท็จ สอนแต่มิจฉาทิษฐิ -- จิ้งจก)
ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ในรูปแบบของสังคม แต่ซึมลึกเข้าไปสู่จิตใจของผู้ฅนในสังคมด้วย แต่ละฅนถูกหล่อหลอมมาให้แปลกแยกออกจากนิเวศน์รอบตัว
"มนุษย์นั้นเป็นส่วนประกอบขององค์รวมที่เรียกว่า "จักรวาล" แต่ประสบการณ์-ความรู้สึก-ความคิด-ของแต่ละปัจเจกนั่นแหละที่ทำให้เกิดความแตกต่าง(ออกเป็นแต่ละบุคคล)" ไอน์สไตน์เขียนไว้ในบันทึก
...จุดนี้เองที่ทำให้ชีวิตต้องดิ้นรนแสวงหาปลายทางของใครของมัน...อย่างเปล่าเปลี่ยว
"ภาพลวงตรงนี้เองที่เหมือนคุกของทุกผู้คน, จำกัดเราไว้แค่เพียงตัณหาส่วนตน หรือคิดกว้างแค่เพียงผู้คนที่ใกล้ชิดกับตนเท่านั้น (กู กับ พวกของกู) เป้าประสงค์ของทุกฅนจริงๆก็คือการปลดปล่อยตนเองออกจากคุก เพื่อออกไปสู่เอกภาพหนึ่งเดียวแห่งความสวยงามของสังคมและจักรวาลทั้งมวลให้ได้" ไอน์สไตน์กล่าวเสริมไว้ในตอนท้ายของบันทึก.
--eof--

ภูมิประวัติ.. อัมพปาลี..โสเภณี ผู้มีกฎหมายคุ้มครอง คนแรกของโลก !!!



Atthanij Pokkasab



#ภูมิประวัติโสเภณีที่มีกฎหมายคุ้มครองคนแรกของโลก

Cr. Atthanij Pokkasab
5 เม.ย.2014 04:48 น.

ภูมิประวัติ.. อัมพปาลี..
โสเภณี ผู้มีกฎหมายคุ้มครอง คนแรกของโลก!!!
ที่มาของ ความงามเลิศ ;
(๑๗๙) ดิฉันเกิดในสกุลกษัตริย์
เป็นภคินีแห่งพระมหามุนีเจ้า
พระนามว่า ปุสสะผู้มีพระรัศมีงามรุ่งเรือง
มีธรรมดังว่า เทริดดอกไม้บนศรีษะ
ดิฉันได้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว
มีจิตเลื่อมใส
ถวายมหาทานแล้ว
ปรารถนาซึ่งรูปสมบัติ ฯ
ที่มาของความเป็นโสเภณีทุกภพทุกชาติ ;
..ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้
พระพิชิตมาร พระนามว่า สิขี
(พระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า)
ผู้เป็นนายกชั้นเลิศของโลก เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
ครั้งนั้น
ดิฉันเกิดในสกุลพราหมณ์
ในนครอรุณอันน่ารื่นรมย์
โกรธแล้ว ด่าภิกษุณีองค์หนึ่ง
ผู้มีจิตพ้นแล้วจากกิเลส
ว่า "ท่าน เป็นหญิงแพศยา
ประพฤติอนาจาร ประทุษร้ายพระพุทธศาสนา"
ครั้นด่าอย่างนี้แล้ว
ดิฉันได้ไปสู่นรกอันร้ายกาจ
เพรียบพร้อมไปด้วยมหันตทุกข์
เพราะกรรมลามกนั้น
เคลื่อนจากนรกนั้นแล้วมาเกิดในหมู่มนุษย์
เป็นผู้มีธรรมลามก เป็นเหตุให้เดือดร้อน
ครองความเป็นหญิงแพศยา นับหมื่นๆชาติ
ยังมิได้พ้นจากบาปกรรมนั้น
เปรียบเหมือนคนกินยาพิษอันร้ายแรง
ในภัทรกัป นี้
ดิฉันได้บวชเป็นภิกษุณี มีเพศอันประเสริฐ
ในศาสนาแห่งพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงได้ไปเกิดในภพดาวดึงส์
เพราะผลแห่งบรรพชากรรมนั้น
ในภพอันเป็นสุดท้ายของดิฉันนี้
ดิฉันเป็นโอปาติกสัตว์
อุบัติขึ้นเองบนคาคบแห่งต้นมะม่วง
จึงมีชื่อว่า "อัมพปาลี"
(หมายถึง นางผู้ซึ่งต้นมะม่วงได้รักษาไว้)
...ฯลฯ

ขยายความ...
หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ประทาน
อปริหานิยธรรม ๗ ประการ
แก่เจ้าชายมหาลิ (พระราชบิดาของ พระสีวลี)
ราชครูใหญ่ แห่งกษัตริย์ ๘ ราชวงศ์
ผู้สถาปนาแคว้นวัชชี
ข้อที่ ๕ ของ อปริหานิยธรรม ๗ ก็คือ
นโยบายรัฐแห่งแคว้นวัชชี
มีความว่า...
(๕)บรรดากุลสตรีและกุลกุมารีทั้งหลาย
ให้อยู่ดีโดยมิถูกข่มเหง หรือถุกฉุดคร่าขืนใจ
จากนโยบายรัฐข้อที่ ๕ นี้
เมื่ออัมพปาลีเป็นสาวงามเกิด..อุบัติขึ้นมาเองโดยไม่มีใครเป็นเจ้าของ...
ราชา ๘ ราชวงศ์ผู้ปกครองแคว้นวัชชี
จึงต้องประชุมแล้วประทาน"ฉัตรและตราตั้ง"
ยกสวนมะม่วง(อัมพวัน)และแต่งตั้ง
ให้นางอัพปาลี เป็นโสเภณี
ค่าตัว ๕๐๐ กหาปนะต่อหนึ่งวันหนึ่งคืน
ที่ใครคิดจะมาร่วมอภิรมย์
อัมพปาลี จึงเป็นต้นแบบโสเภณี ตราตั้ง
คือมีกฏหมายที่รัฐคุ้มครองเป็นคนแรกของโลก
ที่ต่อๆมา ราชธานีของแคว้นต่างๆสมัยพุทธกาล
ก็มาดูงานโสเภณีตราตั้งที่นครเวสาลีนี้แล้วนำไปพัฒนาระบบโสเภณีในนครของตนกัน
จนทั่วชมพูทวีป..
นี่คือ กฎหมายคุ้มครองหญิง...
ที่ชี้นำโดยคำสอนในพระพุทธศาสนา !!!

ประวัติปลีกย่อยที่สำคัญ ;
นางอัมพปาลี มีลูกกับพระเจ้าพิมพิสาร
ราชาแห่งแคว้นมคธ(ข้ามนครมาใช้บริการบ่อย)
คนหนึ่ง ด้วยปัญหาชาติกำเนิด...
จึงได้มาอยู่ในการอนุเคราะห์ของมหาวิหารเชตวัน สำเร็จเป็นอรหันต์เยาวชน ที่มีชื่อเสียงมากองค์หนึ่ง คือ..ท่านพระวิมลโกณฑัญญะเถระ"
ในบั้นปลาย นางอัมพปาลีได้ออกบวชเป็นภิกษุณี สำเร็จเป็นพระอรหันต์หญิง ดับขันธปรินิพพานเมื่อมีอายุ ๑๒๐ ปี.

จาก (๑๗๙)อัมพปาลีเถริยาปทาน
อัปทาน ขุททกนิกาย
ไตรปิฎก สยามรัฐ เล่ม ๓๓/๔๕

Friday, December 28, 2018

Scytheics 's History ; ธนุรเวท





เกร็ดเก๋ากึ๊กส์ โดย อัตถนิช โภคทรัพย์ - Atthanij Pokkasab

26 ธันวาคม เวลา 04:27 น. 





#Scytheics 's History ; ธนุรเวท


Cr. Atthanij Pokkasab
19 มี.ค.2014 18:20 น.
อานุภาพสูงสุด ของอาวุธสงคราม สมัยพุทธกาล
เป็น เทคโนโลยี จาก ศิลปศาสตร์ธนุรเวท(Scytheics)

สมัยพุทธกาล มีผู้สามารถใช้เพียง ๓ ท่าน ;

๑. เจ้าชายสิทธัตถะ ราชกุมารแห่งนครกบิลพัสดุ์

๒.เจ้าชายพันธุละ มัลลบุตร มหาเสนาบดี แห่งแคว้นโกศล

๓.พระเจ้าอุเทน มหาราชานครโกสัมพี แห่งแคว้นวังสะ
หมายเลข ๓
พระเจ้าอุเทน มหาราชา ต้นกำเนิดผู้ขอพระพุทธานุญาต จำลองสร้างพระพุทธรูป(กำเนิดพระพุทธรูป) ไว้กราบระลึกถึง เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าจะเสด็จจำพรรษาบนดาวดึงส์
วิชาใช้อาวุธ จาก ศิลปศาสตร์ธนุรเวท ของพระเจ้าอุเทน ได้รับการถ่ายทอดจากพระราชฤๅษีพ่อเลี้ยง..คือราชฤๅษีอัลลกัปปะ ถ่ายทอดให้พร้อมกับพิณมนต์บังคับช้างป่า "หัสดีกันต์"

มีคำบรรยาย ถึง อาวุธของพระเจ้าอุเทน ดังนี้ ;
๑. ธนู หรือเครื่องยิง มีสัณฐาน เหมือนงาช้าง
๒. มีกำลังแห่งการโก่ง ของบุรุษแข็งแรงพันหนึ่ง(กำลัง ๑,๐๐๐ ชายฉกรรจ์)

ลูกศรที่ยิงออกไป มีลักษณะ ดังนี้ ;
๑. ย่อมแทงทะลุตลอดแม้แผ่นศิลายักษ์
๒. ฐานะที่กระทบอากาศไม่มี(ทะลุกำแพงเวลา)

พระเจ้าอุเทนไปเสียท่าเพราะ ยิงใส่พระนางสามาวดีกับนางกำนัลทั้ง ๕๐๐ จะให้ลูกศรทำลายพระนางกับสาวกำนัลให้ตายพร้อมกันทันที(ถูกใส่ร้ายโดยพระนางมาคันทิยา) แต่ ถูกอำนาจเมตตาจิตของพระนางสามาวดีกับนางกำนัลทั้ง ๕๐๐ เป็นบาริเออร์สะท้อนย้อนกลับ พุ่งเข้าไปจ่อที่หัวใจพระเจ้าอุเทน จนพระเจ้าอุเทน ต้องทิ้งคันเครื่องยิง นั่งกระหย่งประคองอัญชลีไหว้พระนางสามาวดี ตรัสว่า..

"น้องหญิงสามาวดีเอ๋ย
ขอเธอจงต้านทานลูกศรแห่งเราไว้
ขอเธอจงเป็นที่พึ่งแห่งเราด้วย
เราฟั่นเฟือนแล้ว เราเลือนหลงแล้ว
ทิศทั้งปวงมืดสนิทไม่ปรากฏแก่เราแล้ว."

พระนางสามาวดีตรัสตอบว่า..
"ข้าแต่ มหาราช !
หม่อมฉันถึงผู้ใดเป็นที่พึ่ง
ก็ขอให้พระองค์จงถึงผู้นั้นเป็นที่พึ่ง
ดังเช่นหม่อมฉันเถิด เพคะ
ข้าแต่ มหาราชเจ้า!
ผู้นั่นคือพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้านั้นเป็นผู้เยี่ยมยอด
ขอพระองค์จงถึงพระพุทธเจ้า พระองค์นั้น
เป็นที่พึ่ง เถิด
และพระองค์ก็ทรงเป็นที่พึ่งของหม่อมฉันด้วย."


ศิลปศาสตร์ธนุรเวท เผชิญกับมหาสาวิกาผู้เลิศด้วยเมตตา
เป็นบันทึกอันยิ่งใหญ่ตอนหนึ่งของประวัติศาสตร์อารยันสมัยพุทธกาล ครับ
อยู่ร่วมตอนกำเนิดพระพุทธรูปด้วย...
ไม่ใช่อย่างที่เอามาทำเป็นความรู้ที่หลายท่านเคยรู้กันครับ.



Quantum Physics Lab of Mind in Buddhism's History



The Buddhism Explorer

25 ธันวาคม เวลา 18:34 น.




Quantum Physics Lab. of Mind
in Buddhism's History
#ข่าวสารจากพุทธกาล
ตอน ๏ #จูฬเวทัลลสูตร ๚๛
มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย
พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ เล่ม12/45

Cr. Atthanij Pokkasab
5 เม.ย.2018, 08:48 น.
เป็นการสนทนาธรรมแสดงการบรรลุพระอริยธรรมระหว่างสามีภรรรยาผู้เป็นคฤหบดีชาวกรุงราชคฤห์คู่หนึ่ง ฝ่ายสามีนั้น ชื่อว่า วิสาขะอุบาสก ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าสามครั้ง
ครั้งที่หนึ่ง..
เข้าเฝ้า ในฐานะคฤหบดีราชบริพารของพระเจ้าพิมพิสาร มหาราชจอมแคว้นมคธ ฟังธรรมครั้งแรก วิสาขะอุบาสกก็บรรลุธรรมได้เป็นพระโสดาบัน
ครั้งที่สอง..
เข้าเฝ้า ตามหน้าที่อุบาสกชาวกรุงราชฤคฤห์ ฟังธรรมครั้งนี้ สำเร็จสกทาคามิผล
ครั้งที่สาม..
ทำหน้าที่อุบาสกในพระเวฬุวันวิหาร เช่นเดียวกับครั้งที่สอง ฟังธรรมแล้ว ก็ได้สำเร็จอนาคามิผล
ในครั้งที่สามนี้เอง เมื่อกลับเคหาสนสถาน อาการสำรวมอินทรีย์ที่เสมอกับพระโยคาวจรภิกษุอันมีมาโดยมรรคผลก็ได้ปรากฏแก่ นางธรรมทินนาผู้เป็นภรรยา
นางผู้เป็นภรรยาอดทนให้กับอาการสำรวมอินทรีย์อันผ่องใสแปลกตาของ วิสาขะอุบาสกได้ สามวันล่วงแล้วจึงได้ไต่ถามว่านางทำผิดอะไร อย่างใดแก่ผู้เป็นสามีหรือ วิสาขะอุบาสกถึงไม่แสดงกิริยาปกติดังที่เคยเป็นมา แม้แต่การพูดจาด้วยก็ไม่มี
วิสาขะอุบาสก เห็นว่า #อันโลกุตตรธรรมนี้เป็นของหนักใครๆไม่ควรเปิดเผยแต่ถ้าไม่บอก #ธัมมทินนาก็จักมีหัวใจแตกสลายตายในเสียที่นี้ จึงบอกยกทรัพย์ ที่มีอยู่ทั้ง หมด 80 โกฏิ พร้อมอิสระจากความเป็นสามีภรรยาแก่นางผู้เป็นภรรยา
นางธัมมทินนาได้ฟังก็รู้ด้วยปัญญาว่าสามีตนต้องได้สำเร็จโลกุตตรธรรมแน่นอนแล้ว จึงถามคืนว่า
นางธัมมทินนา ถึงว่า
"เมื่อเป็นได้อย่างนั้น ขอท่านพี่จงอนุญาตให้ข้าพเจ้าบรรพชาเถิด"
ท่านวิสาขะอุบาสกจึงว่า
"ดีแล้ว ดีแล้ว ธัมมทินนา ถึงเราก็ประสงค์จะชักนำเธอในทางนี้ แต่ไม่รู้จักใจเธอ จึงไม่ได้บอก เมื่อเธอบอกมา พวกเราพากันไปเข้าเฝ้าขออนุญาตมหาราชากันเถิด"
***เศรษฐีในสมัยพุทธกาลนั้น เป็นได้ต้องมีการรับรองโดยมีพระราชาโปรดเกล้าแต่งตั้งขึ้นมา มีการพระราชทานฉัตรเศรษฐี คือมีกฎหมายรับรองนั่นเอง
เมื่อสองสามีภรรยาคฤหบดีเข้าเฝ้าและกราบทูลความประสงค์ พระเจ้าพิมพิสารก็มีพระราชโองการให้โอกาส และทรงตรัสถามความต้องการตามประเพณีที่พึงอุปถัมภ์สงเคราะห์แก่การบรรพชาของนางธัมมทินนา ซึ่งนางธัมมทินนาก็กราบทูลขอตามประเพณีขณะนั้น ซึ่งก็คือ ขอพระราชทานวอทองคำ กับการตกแต่งพระนครราชคฤห์ เป็นการรองรับการประกาศบรรพชาของนางธรรมทินนา อย่างเป็นทางการ
วิสาขะอุบาสกให้นางธัมมทินนาอาบสรงกายด้วยน้ำหอมปรุงแล้ว ก็ตกแต่งเครื่องประดับทุกประการอันเศรษฐีพึงมี แล้วให้ขึ้นนั่งวอทองคำ หามแล้วห้อมล้อมด้วยหมู่ญาติและบริวาร บูชาด้วยดอกไม้และเครื่องหอมนานา แห่ไปสู่สำนักภิกษุณี
#ต้นกำเนิดประเพณีการแห่นาค
อยู่ที่ประเพณีของชาวกรุงราชคฤห์ที่ปรากฏเป็นงานบรรพชาของนางธัมมทินนา นี้เอง!!!
นางธัมมทินนาบวชเป็นภิกษุณีได้ไม่นาน
ด้วยความเป็นหญิงมากด้วยปฏิภาณปัญญา
แม่เจ้าธัมมทินนาเถรี จึงขอโอกาสพระเถรี
ผู้เป็นอาจารย์และพระอุปัชฌาย์
ไปสู่ชนบทกันดารเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม
เพียงไม่กี่วันก็สำเร็จกิจสูงสุดของพระศาสนา
เป็นพระอรหันต์
จึงจากชนบทเดินทางกลับมาสู่กรุงราชคฤห์
#เพื่อสงเคราะห์ลาภสักการะแก่ภิกษุณีสงฆ์ผู้ยังลำบากด้วยปัจจัยทั้งหลาย
กับสงเคราะห์ญาติทั้งหลายด้วย
ใน จูฬเวทัลละสูตร มีอยู่หลายตอนที่ วิสาขะอุบาสกสนทนาธรรมเพื่อ #ตรวจสอบอรหัตภูมิ ของท่านพระแม่เจ้าธัมมทินนาเถรี
ดังตัวอย่างที่เป็นจุดประสงค์ของการนำมาถ่ายทอดในครั้งนี้ ครับ...
๏ #วิสาขะอุบาสกปุจฉา.....
"ข้าแต่พระแม่เจ้า....
1. #สมาธิได้แก่สิ่งใด?
2. #ธรรมอันเป็นนิมิตแห่งสมาธิได้แก่สิ่งใด?
3. #ธรรมอันเป็นบริกขารแห่งสมาธิได้แก่สิ่งใด?
4. #สมาธิภาวนาได้แก่สิ่งใด?"

๏ #ท่านพระธัมมทินนาเถรีวิสัชนา....
"ท่านวิสาขะผู้เจริญ
1. #เอกัคคตา แลชื่อว่า #จิตเป็นสมาธิ,
2. #สติปัฏฐาน4 ชื่อว่า ธรรมอันเป็นนิมิตแห่งสมาธิ,
3. #สัมมัปปธาน4 ชื่อว่า ธรรมอันเป็นบริกขารแห่งสมาธิ,
4. #การกระทำให้มากซึ่งธรรม เหล่านี้คือ เอกัคคตาจิต, สติปัฏฐาน 4, สัมมัปปธาน 4 นี้แล #เป็นสมาธิภาวนา"
..... ..... .....


***ถอดความขยายเคล็ด :--

๏ เอกัคคตาจิต
หมายถึง มโนวิญญาณที่เป็นอิสระพ้นไปจากข้อมูลประสบการณ์ของอินทรีย์ 5 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย)
มโนวิญญาณ เป็น ปรากฏการณ์จาก "มโนธาตุ/วิญญาณธาตุ/มโนวิญญาณธาตุ" ที่เรียกชื่อเฉพาะว่า "#ปฐมจิต" บ้าง "#ภวังคจิต" บ้าง มีลักษณะเป็นควอนตัม อุบัติขึ้นจากหลุมในหัวใจ แล้วมีจากเยื่อในกระดูกแผ่หนุนตามมาเป็นระลอกคลื่น ใน โปฏฐปาทสูตร สีลขันธวรรค ทีฆนิกาย เรียกว่า "#กระแสวิญญาณ" ..หากเข้ารวมกับ พลังงานที่เกิดจากไวเบรชั่นของอายตนประสาท คือ จักขุวิญญาณ/โสตวิญญาณ/ฆานวิญญาณ/ชิวหาวิญญาณ/กายวิญญาณ จะกลายเป็น ตัณหา 3 ที่ขับเคลื่อนกิจกรรมความมีความเป็น ทั้งปวงในขณะชีวิตของสัตวบุคคลทันที

๏ สติปัฏฐาน 4
หมายถึง กายานุปัสสนา, เวทนานุปัสสนา, จิตตานุปัสสนา และธัมมานุปัสสนา โดยย่อว่า กาย-เวทนา-จิต-ธรรม บวก อนุปัสสนา ...อนุปัสสนาหมายถึง การเห็นภายในอันเนื่องด้วย....กาย... เนื่องด้วยเวทนา เนื่องด้วยจิต และเนื่องด้วยธรรม มีเท็คนิคพื้นฐานอยู่ที่ลมหายใจออก-ลมหายใจเข้า เพราะลมหายใจเป็นเหตุที่มาของกายที่เชื่อมโยงจิต ลมหายใจจึงมีชื่อเป็นศัพท์เท็คนิคเฉพาะว่า
#กายสังขาร
โดยมีฐานรูปธรรมของระบบปสาทรูป(Nervous System) ระบบน้ำเหลืองและถุงน้ำดี(Lymphatic System and Gallbladder) ประกอบ เซลล์เนื้อเยื่อตลอดทั้งร่าง 100 ล้าน-ล้านเซลล์ รองรับ
การสื่อสารในระหว่างเซลล์(ใช้คลื่นระหว่าง 20Hz ถึง 1,000 Hz) และความทรงจำในเซลล์ 5,000 ล้านบิทของแต่ละเซลล์ รองรับ และพระพุทธศาสนา เรียกระบบการสื่อสารประกอบการทรงจำค่ามหึมานี้ว่า "สัญญา" มีหน่วยวัดค่ามโหฬารเรียกว่า "กัลป์,กัลป์" คือ หนึ่งช่วงอายุขัยของดาราจักรทางช้างเผือก
๏ สัมมัปปธาน 4 หมายถึง
1.สังวรปธาน
การเพียรปิดกั้นบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด ไม่ให้เกิด( สูงกว่าสติที่แยกแยะดี-ชั่วขึ้นมาอีกขั้น)
2.ปหานปธาน
การเพียรกำจัดบาปอกุศลที่เกิดแล้วให้สิ้น
3. ภาวนาปธาน
การเพียรให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
(กุศล คือเหตุการณ์ที่ประกอบด้วยสติปัญญาที่เป็นความงดงามแยกแยะเหนือ ดี-ชั่ว แล้วให้คุณที่มาของศัพท์เท็คนิคเฉพาะว่า #คุณธรรม)
4.อนุรักขนาปธาน
การเพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดแล้ว ให้ตั้งมั่นและเจริญไพบูลย์ยิ่งๆขึ้น
ขอความเจริญในอารยธรรมแห่งมนุษยธรรม
และอุตริมนุสสธรรม จงมีในท่านผู้สนใจจริงทุกท่าน เทอญ.