Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Monday, January 16, 2017

88.Breaking Dharma PART 87





Breaking Dharma PART 87...!!!
....



08:00 น. ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๕ (วันโกน)
วันอาทิตย์ ที่ ๑๓ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๗


ทำความเข้าใจเรื่อง การฉันอาหาร ของพระภิกษุ


หลักฐานการกำหนดขอบเขตและจำนวนการฉันอาหารของพระภิกษุนั้น เป็นคำบอกเล่ากึ่ง
คำสารภาพของ ท่านพระอุทายี..

ทำความเข้าใจเรื่อง ท่านพระอุทายี ;

ในสมัยพุทธกาล ชื่อ "อุทายี" หรือพราหมณ์ตระกูลอุทายี ที่โด่งดังมีอยู่ด้วยกัน ๓ ชื่อได้แก่
๑. อุทายีดำ (กาฬุทายี) ท่านนี้เป็นอดีตอำมาตย์
๒. อุทายีใหญ่ (มหาอุทายี)
๓. อุทายีเลอะเทอะ (โลฬุทายี)

อุทายีใหญ่ และอุทายีเลอะเทอะ นี้  เกจิอาจารย์ไทยนำมาสับสนเละเทะ   ซึ่งในพระสูตรที่ยืนยันว่า เป็นองค์เดียวกัน 
ก็คือพระสูตร ที่เกิดจากคำบอกเล่าและคำสารภาพของท่านเอง โดยเป็นการบอกเล่าเบื้องพระพักตร์ของพระศาสดา 
ขออนุญาตยังไม่บอกชื่อพระสูตร  เพราะเกจิอาจารย์ที่ถ่ายทอดผิดๆ...สมควรไปค้นหาและขอขมาเอง

สรุปว่า.. ตอนที่ท่านยังไม่สำเร็จอรหัต ท่านเป็น พระอุทายีเลอะเทอะ และเมื่อบรรลุอรหัตแล้วท่านจึงเป็น มหาอุทายี
วาทะการด่าผู้หญิง และการวิพากษ์ถึงนิสัยเสียๆหายๆของผู้หญิงทั้งหมดที่ปรากฏในชาดก 
ล้วนเป็นของอดีต ท่านพระอุทายีรูปนี้ ทั้งสิ้น  
แม้เรื่องราวที่เกิดเกี่ยวข้องกับความผิดต่อเพศหญิงในธรรมวินัยสมัยพุทธกาล  ท่านก็คือผู้สร้างคดีมาตรฐานต้นแบบเอาไว้

รวมไปถึง ระดับขั้นของ "นิพพาน" ทั้ง ๔ ขั้น ก็เป็นท่านเลอะเทอะนี้เองที่เบรคการเทศน์โปรดญาติโยมของท่านพระสารีบุตร
ต่อเบื้องพระพักตร์พระศาสดา จนท่านพระสารีบุตรต้องขยายความ  ทำให้ทราบว่า นิพพาน มี ๔ ระดับขั้น 
(ไม่ขอแสดงชื่อพระสูตรที่มา  ต้องการให้พวกเกจิอาจารย์ที่กระทำการละเมิดถ่ายทอดผิดๆ 
สำนึก และค้นหาเอง  ไม่เช่นนั้นก็สะสมการละเมิดผิดไปทุกภพทุกชาติ..)


มาว่าเรื่องการฉันอาหาร ต่อ...

พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า
"ภิกษุทั้งหลาย !
เราขอเตือนเธอทั้งหลาย
จงละการฉันโภชนะ ในเวลาวิกาล
ในเวลากลางวัน นั้นเสียเถิด"

ท่านพระอุทายี (ตอนที่ยังเลอะเทอะอยู่) เล่าเอาไว้ว่า
เมื่อพระศาสดาประกาศท่ามกลางสงฆ์ห้ามการฉันอาหารดังนั้น 
ซึ่งเวลานั้น ท่านอุทายีเองฉันไม่เลือกเวลา 
ได้บังเกิดความเสียใจ ความน้อยใจเป็นอันมาก ว่า
"พระพุทธองค์ผู้ศาสดาขัดลาภเราแล้วหนอ
พระพุทธองค์ผู้ศาสดาขัดลาภเราแล้วหนอ."
แต่..ท่านก็ยืนยันว่า..
แต่สุดท้าย (หลังการตีโพยตีพาย) เพราะความรัก
ความเคารพ ละอาย เกรงกลัว ต่อพระพุทธองค์ผู้ศาสดา
ท่านอุทายีก็ได้พยายามเลิกฉันไม่เป็นเวลา
แต่..ยังฉันตอนเช้า กับฉันตอนเย็น เพียง ๒ มื้อ
จนกระทั่งพระพุทธองค์ผู้ศาสดา ประกาศย้ำ ห้ามการฉันยามวิกาล
เรา..จะเข้าใจว่าฉันยามวิกาลคืออย่างไรมาอ่านที่ท่านเล่าไว้..ดู...

ขณะนั้นเป็นยามค่ำเดือนมืด ของวันหนึ่งในพรรษา
ท่านพระอุทายีได้เข้าไปบิณฑบาตร ณบ้านหลังหนึ่ง
หญิงนางหนึ่งกำลังนั่งล้างภาชนะอาหาร อย่างรีบด่วน
เนื่องจากเดือนมืดและฝนมีเค้าจะตก
ท่านพระอุทายีได้ถือบาตรมายืนแล้วที่เบื้องหน้า
แต่หญิงนั้น ไม่ได้สังเกตเห็น
ก้มหน้าล้างเหล่าภาชนะทั้งหลายอยู่อย่างตั้งใจ
ปรากฏฟ้าแลบ สว่างจ้าแปล้บขึ้น นางก็ได้เห็นร่างสูงใหญ่ทะมึนดำ
ของท่านพระอุทายีปรากฏ ตกใจอุทานร้องว่า
"ความไม่เจริญเกิดขึ้นแล้ว
ความไม่เจริญเกิดขึ้นแล้ว
โอ.โอ..โอ..ปีศาจจะมากินข้า แล้ว"

ท่านพระอุทายี จึงเอ่ยชี้แจงว่า
"น้องหญิง จงฟังคำของเรา
เรามิใช่ปีศาจที่จะมากินเธอหรอก
เราเป็นภิกษุ มายืนอยู่เพื่อรับบิณฑบาตรน่ะ"

น้องหญิงหายตกใจ ก็โกรธ ขึ้นหน้า
(คงมีกรรมร่วมกันในอดีต) แว้ดขึ้นทันทีว่า
"พ่อภิกษุตายแล้วหรือ
แม่ภิกษุตายแล้วหรือ
นี่แนะ..ภิกษุ
ท่านเอามีดเถือโคเชือดท้องตัวเองเสียเถิด ไป๊
ยังดูดีกว่าการที่ท่านมาเทียวบิณฑบาตรไม่เป็นเวล่ำเวลา
อย่างนี้..ไม่ดีเลย"

ในประวัติผลงานของท่านพระอุทายีทุกๆชาติแม้ชาติสุดท้ายขณะนั้น มีแต่ได้เปรียบและเป็นฝ่าย
สั่งการผู้หญิงไม่เคยมีผู้หญิงคนใดมาตวาดว่าแว้ดๆท่านอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต แว้ดเดียวนี้เอง 
ความหมื่นทะลึ่งของท่านจึงพังครืน..ได้สติ เกิดความละอายนำเรื่องนี้มาเล่าและขอขมาต่อ
พระพุทธองค์ผู้ศาสดา...
ท่านอุทายีเลอะเทอะ ได้ปฏิบัติตนกลายเป็นท่านพระอุทายีใหญ่ ด้วยพฤติกรรมสุดท้ายที่ถูก
น้องหญิงสั่งให้ไปตายเพราะเหตุแห่งท้องนี้เอง

และเป็นการยืนยันด้วยว่า..
การฉันอาหารมื้อเดียว อันเนื่องจากได้สติเพราะน้องหญิงแว้ดใส่ 
จนกระทั่งบรรลุพระอรหัตโดยมีพระพุทธองค์ผู้ศาสดาตรัสยืนยันธรรม (นิพพาน ๔ ระดับ น่ะแหละ) 
ที่ท่านพระอุทายีบรรลุจาก อุทายีเลอะเทอะ (โลฬุทายี) สำเร็จเป็น อุทายีใหญ่ (มหาอุทายี) 
ซึ่งหากเป็นเวลากลางวัน   น้องหญิงผู้นั้น หากได้เห็นลักษณะท่านอุทายีย่อมไม่กล้าแว้ดใส่แน่นอน 
เพราะมีบุคคลิกบารมีที่น่าเกรงขาม 
น่าครั่นคร้ามต่อเพศหญิงมาทุกภพทุกชาติ

พระสูตรนี้ยืนยันว่า
ภิกษุพึงฉันอาหาร มื้อเดียวเท่านั้น
แต่หากไม่รู้จักมรรคาแห่งสมาธิ การฉันอาหารมื้อเดียวนั้น
ก็ย่อม ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ครับ


Atthanij Pokkasap





...พระสูตรนี้แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาหารมื้อเดียว
กับความสำเร็จของสมาธิที่ประดิษฐานนิพพาน ธรรมทั้ง ๔ ระดับขั้นครับ...
                                                         
...เพ่งจนเป็นที่มาของอาบัติปาจิตตีย์ว่าด้วย อาบัติห้ามซักสบงจีวรให้กันระหว่างภิกษุและภิกษุณี 
แสดงถึงขอบเขตของการตามบังคับกามจนจิตประกาศอิสรภาพอยู่เหนือการครอบงำของกาม
เป็นที่มาของ สมาธิ...



...ท่านพระอุทายีเสนอ ทานใหญ่แก่สีกา ดังนี้

"น้องหญิงเธอจงให้ทานอันหาได้ยาก แก่ภิกษุเถิด แล้วเธอจักได้บุญใหญ่ อานิสงส์ใหญ่"
"ทาน อันใดหรือเจ้าคะ"
"ทานนั้นชื่อ เมถุน ธรรมจ้ะ น้องหญิง"
เรื่องมีมาแล้วอย่างนี้แล ฯ


...ผลงานชิ้นเด็ด ของท่านพระอุทายี...

"น้องหญิง!
เธอจงให้ทานอันหาได้ยากแก่ภิกษุเถิด
แล้วเธอจักประสบบุญใหญ่ อานิสงส์ใหญ่"

สีกาผู้มีศรัทธาจึงถามด้วยความตื่นเต้นว่า
"ทานอันใดหรือเจ้าคะ ?"

"เมถุน ธรรมจ้ะ น้องหญิง!!!"
นี่คือวาทะแนะนำบุยจากท่านพระ..อุทายี.

เป็นที่มาของรายละเอียด การสอดใส่ มรรคทั้ง ๓ คือ 
ปาก (มุขมรรค)  ทวาร (วัจมรรค)  และอวัยวะเพศ (องคมรรค)



...เพศศึกษาในพระพุทธศาสนาท่านก็มีรายละเอียดสอนได้อย่างลึกซึ้ง...
แต่พระ...กับองค์กรรัฐที่ผูกขาดบริหารจัดการ กลับเป็นทาสกามทาสตัณหาอย่างสิ้นคิด...

เพราะมีและ ให้ "คุณ"...
พระพุทธศาสนาจึงเรียกว่า "กามคุณ"

เพราะ มีความงดงามและแผ่ความงดงาม
ให้กระจายไกลได้
ท่านจึงเรียกพฤติกรรมของ ตัณหาว่า "ตัณหาวิจิตร"
ใครว่าพระพุทธศาสนามองเห็นแต่โทษทุกข์วะ ??!




                                                                                                    ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
        
  


* Story & Photos by  Atthanij Pokkasap

No comments: