Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Saturday, January 14, 2017

76.Breaking Dharma PART 75





Breaking Dharma PART 75...!!!
....


ทำไม.. พระพุทธศาสนา ต้อง...
ฝึกอบรมจิต (สจิตฺตปริโยทปนํ..Sacittapariyodapananฺ)?!!


*เหตุผลจาก วิทยาศาสตร์สัมพัทธภาพ คริสตศตวรรษ 20 ;

ความหวังที่จะเปิดเผยความลี้ลับของธรรมชาตินั้น
อาจเป็นไปได้ว่า บัดนี้มนุษย์ได้ก้าวมาถึงขอบเขตจำกัดอันหนึ่ง
ของธรรมชาติอันสับสนซึ่งแวดล้อมตัวเขาอยู่
ในการค้นลึกเข้าไปภายในจุลจักวาล
เขาได้พบภาวะไม่มีกำหนด (indeterminacy)
ความเป็นสอง (duality) และความขัดแย้งกันเอง
เหล่านี้ เป็นสิ่งกีดขวางซึ่งดูประหนึ่งจะเตือนเขาว่า
เขาไม่สามารถจะสอดรู้สอดเห็นและอยากรู้จนเกินไป
ที่จะรู้เข้าไปจนถึงแก่นของสิ่งต่างๆ
โดยไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เขาต้องสังเกต
และในการสำรวจเข้าไปในมหาจักรวาลนั้น
ในที่สุด เขาก็ได้มาถึงเอกภาพอันปราศจากรูปร่าง
ลักษณะของ อวกาศ-กาล, มวล-พลังงาน, สสาร-สนาม
อันเป็นพื้นฐานสุดท้าย ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลง และดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์
ซึ่งดูเหมือนว่า จะไม่มีทางไปได้ไกลกว่านี้ได้อีกแล้ว
เพลโต้ได้กล่าวไว้ว่า "คุกนั้นคือ โลกแห่งการเห็นของเรานั่นเอง"
ทางทุกทางซึ่งจะหนีไปจากคุกอันนี้
ซึ่งวิทยาศาสตร์พยายามค้นหานั้น ดูเหมือนจะค่อยพากลึกเข้าไปสู่
อาณาจักรอันมืดมัวของสัญลักษณ์ และนามธรรม

*ความพยายามที่จะแยกระหว่างลักษณะที่ปรากฏออกมา
จากความแท้จริง และตีแผ่โครงสร้างพื้นฐานของเอกภพ
ให้เป็นที่ประจักษ์นั้น วิทยาศาสตร์จำต้องขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่า
" ความสับสนของอายตนะ "
.... .... ....
เพราะ โลกที่มนุษย์เรารู้จักจริงๆได้นั้นมีอยู่โลกเดียว
คือ โลกซึ่งสร้างขึ้นโดยอาศัยอายตนะของเรา
ถ้าหากลบความประทับใจทั้งหมด
ที่เราตีความจากที่อายตนะรับรู้
และที่ความทรงจำของเราสะสมไว้แล้ว ก็จะไม่เหลืออะไรเลย
... ... ฯลฯ


จาก บทที่ ๑๕ เอกภพ และ ดร.ไอน์สไตน์
The Universe and Dr.Einstein by Lincoln Barnett, 1962




เปรียบเทียบ...
*โลกสร้างขึ้นจากอายตนะ..ตามสำนวนพระพุทธศาสนา ;

ท่านพระสมิทธิเถระทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ;

" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า โลก โลก ดังนี้
ด้วยเหตุเพียงเท่าไร จึงเป็นโลก หรือบัญญัติว่าโลก?"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ;
"ดูก่อน สมิทธิ
จักษุ รูป จักษุวิญญาณ ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณ
มีอยู่ ณ ที่ใด โลก หรือการบัญญัติว่าโลก ก็มีอยู่ ณ ที่นั้น..
โสต (หู) สัททะ (เสียง) โสตวิญญาณ ธรรมที่พึงรู้แจ้ง...ฯลฯ
ฆานะ (จมูก) กลิ่น(คันธะ) ฆานวิญญาณ ธรรมที่พึงรู้แจ้ง...ฯลฯ
ชิวหา (ลิ้น) รส ชิวหาวิญญาณ ธรรมที่พึงรู้แจ้ง..ฯลฯ
กาย โผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) กายวิญญาณ ธรรมที่พึงรู้แจ้ง..ฯลฯ
มโน (ใจ) ธรรมารมณ์(สัมผัสทางใจที่เกิดจากประสบการณ์
อายตนะทั้ง ๕ ข้างต้น) มโนวิญญาณ
ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ
มีอยู่ ณ ที่ใด โลก หรือการบัญญัติว่าโลกก็มีอยู่ ณ ที่นั้นฯ"


จาก ข้อ (๗๕) สมิทธิสูตร สฬายตนวรรค สังยุตตนิกาย
ไตรปิฎก สยามรัฐ เล่ม ๑๘/๔๕




อธิบายตามมติผู้ถ่ายทอด ;
วิทยาศาสตร์ได้ค้นพบมาถึง ที่สุดของขอบเขตการรับรู้ของอายตนะแล้ว
จึงเรียกว่า "ความสับสนทางอายตนะ" ในคริสตศตวรรษที่ 20
และได้ตั้งความหวังอันเลือนลางไว้ว่า ...

..บางทีสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจดีนัก
ที่เราเรียกกันว่า * จิต * นั้น
อาจเป็นสิ่งที่นำมนุษย์ไปสู่จุดหมายปลายทาง
ในท่ามกลางความไม่แน่นอนต่างๆ ในเอกภพนี้ได้
...เจตจำนงเสรี (Free Will) นั้น มีอยู่...ฯลฯ


(จาก บทที่ ๔ เอกภพและดร.ไอน์ไตน์ เล่มเดียวกัน)




พระพุทธศาสนานั้นได้ทำการค้นพบเทคนิคการก้าวข้าม
ความสับสนทางอายตนะ มากว่า ๒,๖๐๐ ปีแล้ว
เรียกว่า... อภิภายตนะ บ้าง วิมุตตายตนะ บ้าง

อภิภายตนะ คือ อายตนะอันยิ่ง อาจตรงกับ..
Paranormal Sense หรือ Supramental Mind ในภาษาอังกฤษ
โดยหลักฐาน เป็นธรรมหมวด ๘ เรียกว่า อภิภายตนะ ๘
เป็นศัพท์เทคนิคที่หลุด ตกหายไปจากพจนานุกรมพระพุทธศาสนา
ทุกฉบับ ทุกภาษาในโลก

วิมุตตายตนะ เป็น ธรรมหมวด ๕ เรียกว่า วิมุตตายนะ ๕

ในมหาเวทัลลสูตร มูลปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย ไตรปิฎกสยามรัฐ
เล่ม ๑๒/๔๕ เป็นพระสูตรที่เกิดจากการสนทนา
ระหว่างท่านพระมหาโกฏฐิตะ กับท่านพระสารีบุตรในการพบกันครั้งแรก
ท่านพระมหาโกฏฐิตะ ได้เรียกเทคนิคการก้าวข้ามความสับสน
แห่งอายตนะตามที่วิทยาศาสตร์กำลังฉงนฉงายนี้ว่า
* มโนวิญญาณอันบริสุทธ์ อันแยกจากอินทรีย์ ๕ แล้ว *

เทคนิคการก้าวข้ามความสับสนทางอายตนะที่วิทยาศาสตร์
คริสตศตวรรษที่ 20 กล่าวถึงนี้เอง คือหัวข้อธรรมที่พระพุทธศาสนา
เรียกว่า..
* สจิตฺตปริโยทปนํ (Sacittapariyodapananฺ) *


ความเข้าใจเร่งด่วนนี้ ควรนำมาพัฒนาประสิทธิ์ภาพความเป็นมนุษย์กันหรือไม่?
หรือจะปล่อยให้ความสับสนทางอายตนะอันเป็นที่มาของความรู้แตกต่างและขัดแย้งกัน
จนต้องจับศัสตราวุธมาประหัตประหารอย่างที่กำลังดำเนินอยู่
เพราะ ความเป็นทาสทางอายตนะที่มีขอบเขตดังคุกตามคำกล่าวของ เพลโต้
....จงพิจารณากันเอง


และการที่มี มิจฉาทิฏฐิกลุ่มใหญ่กล่าวว่า  ศาสนาไม่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
รวมทั้งที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่งคั่งทางวัตถุบนการหลอกลวงชาวโลกและ
เอาเปรียบสังคม ทั้งหลาย...ก็ขอให้จงรีบไปผุดไปเกิดโดยเร็วด้วย  
อย่ามาทำให้สังคมมนุษย์สับสนยิ่งไปกว่าที่กำลังเป็นอยู่นี้เลย....!!!


ขอความรุ่งเรืองแห่งทิพยกายจงบังเกิดมีแก่ท่านผู้ไฝ่ธรรมอย่างมีเหตุผลเป็นวิทยาศาสตร์ทุกๆท่านด้วย เทอญ


Atthanij Pokkasap
08:30 น.ขึ้น๓ค่ำ เดือนยี่
ศุกร์ ๓ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๗




...มนุษย์ไม่ได้รู้จักตัวเอง...และไม่รู้ประมาณตน...จึงได้สร้างความเดือดร้อนให้กับมนุษย์ด้วยกันเองอย่างใหญ่หลวง




                                                                                                         ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
  
  


* Story & Photos by  Atthanij Pokkasap


No comments: