Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Tuesday, January 10, 2017

56.Breaking Dharma PART 55





Breaking Dharma PART 55...!!!
....


เปรียบเทียบความหมาย "กำเนิดโลก"
ระหว่าง การค้นพบของพระพุทธศาสนา กับวิทยาศาสตร์สัมพัทธภาพ


ท่านพระสมิทธิเถระ ทูลถามพระพุทธเจ้า ว่า;
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ที่เรียกว่า โลก โลก ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าใด
จึงเป็นโลก หรือบัญญัติว่าโลก ?"

พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ;
"ดูก่อน สมิทธิ
จักขุ รูป จักขุวิญญาณ
ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วย จักขุวิญญาณ มีอยู่ ณ.ที่ใด
โลก หรือการบัญญัติว่าโลก ก็มีอยู่ ณ.ที่นั้น ..

โสต เสียง โสตวิญญาณ
ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วย โสตวิญญาณ มีอยู่ ณที่ใด
โลก หรือการบัญญัติว่า โลก ก็มีอยู่ ณ ที่นั้น ฯ

ฆานะ กลิ่น ฆานวิญญาณ...ฯลฯ
ชิวหา รส ชิวหาวิญญาณ..ฯลฯ
กาย โผฏฐัพพะ กายวิญญาณ..ฯลฯ

ใจ ธัมมารมณ์ มโนวิญญาณ
ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วย มโนวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด
โลก หรือการบัญญัติว่าโลก ก็มีอยู่ ณ ที่นั้นฯ"


จาก ข้อ (๗๕) สมิทธิสูตร สฬายตนวรรค สังยุตตนิกาย
ไตรปิฎก สยามรัฐ เล่ม ๑๘/๔๕



วิทยาศาสตร์สัมพัทธภาพ ;
ความพยายามที่จะแยกระหว่างลักษณะของความแท้จริง
และตีแผ่โครงสร้างพื้นฐานของเอกภพให้เป็นที่ประจักษ์นั้น
วิทยาศาสตร์จำต้องขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่า "ความสับสนทางอายตนะ"
แต่ไอน์สไตน์ได้ชี้ให้เห็นว่า
ความงามของเอกภาพสุดยอดนั้น
"ตีแผ่ออกมาเป็นความหมายง่ายๆ ไม่ได้"
ความคิดทางทฤษฎีนั้นเมื่อยิ่งใกลจากประสบการณ์
โดยอาศัยอายตนะของเราเพียงไร ก็ยิ่งดูไร้ความหมายมากขึ้น

เพราะ ..
โลกที่มนุษย์เรารู้จักจริงๆได้นั้น มีอยู่โลกเดียวคือ
โลกซึ่งสร้างขึ้นโดยอาศัยอายตนะของเรา
ถ้าหากลบความประทับใจทั้งหมดที่เราตีความจากอายตนะรับรู้
และที่ความทรงจำของเราสะสมไว้แล้ว ก็จะไม่เหลืออะไรเลย

..... ..

โลกอันปรากฏให้เห็น ได้แก่ โลกของแสงและสี
โลกของท้องฟ้าสีคราม ใบไม้สีเขียว โลกของเสียงลมพัด
และเสียงน้ำไหล
โลกซึ่งสร้างขึ้นโดยอาศัยสรีระกริยาของอายตนะนั้น
เป็นโลกซึ่งมนุษย์ถูกกักขังอยู่เพราะธรรมชาติภายในของตัวมนุษย์เอง

ส่วนที่นักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาเรียกว่าโลกแห่งความแท้จริงนั้น
ไม่มีสี ไม่มีเสียง และไม่อาจจับต้องได้
เป็นโลกที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
คล้ายภูเขาน้ำแข็งในท้องทะเล
ซึ่งอยู่ใต้ระดับการรับรู้ของมนุษย์
แต่แท้ที่จริงนั้น มีโครงสร้างสัญลักษณ์อันชัดเจน
ฯลฯ


จาก บทที่ ๑๕ เอกภพ และ ดร.ไอน์ไตน์
(The Univers and Dr.Einstein )
งานแปลของคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๑๖


หมายเหตุผู้ถ่ายทอด;
พระพุทธศาสนาก้าวหน้าไปไกลกว่าวิทยาศาสตร์แห่งคริสตศตวรรษที่ 20
ตรงที่มี เทคนิคการพัฒนา ระบบอายตนะจากสามัญไปสู่ อายตนะพ้นอันพิเศษ ที่เรียกว่า
* อภิภายตนะ ๘* และ *กสิณายตนะ ๑๐*
เพื่อการพิสูจน์สำหรับประสบการณ์เพื่อการค้นพบ
แต่ไม่ถูกนำมาถ่ายทอดในการกล่าวสอนธรรมทั้งหลาย
เพราะมนุษย์ยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของวิทยาศาสตร์ยุคล่าอาณานิคมอย่างงมงายโงหัวไม่ขึ้น
ทำให้ไม่สามารถเข้าใจได้ว่า  อภิภายตนะและกสิณายตนะเป็นเรื่องของอะไรกันแน่
ไม่ใช่ความล้าหลังของพระพุทธศาสนา
หากแต่เป็นความล้าหลังทางปัญญาของมนุษย์ผู้ถ่ายทอด และผู้ไม่พยายามทำความเข้าใจ ต่างหาก

ที่สำคัญ..ทฤษฎีวิวัฒนาการสิ่งมีชีวิตของพระพุทธศาสนานั้น
กำหนดจากผลแห่งพลังงานที่เกิดในระบบประสาทสัมผัสของอายตนะทั้งสิ้นเรียกว่า
จิต และกรรม ร่วมกับ อุตุ(สิ่งแวดล้อม) และอาหาร
ขณะที่ทฤษฎีวิวัฒนาการของชีววิทยาสมัยล่าอาณานิคมที่ยังยึดถือกันถึงปัจจุบัน  
ยึดถือหลักสิ่งแวดล้อมกับอาหาร เท่านั้น   
เรื่องของผลแห่งพลังงานตามกฏอนุรักษกรรมแห่งพลังงาน (Law of Conservetive of Energy)   
ไม่สามารถนำมาประกอบได้โดยเจตนา


Atthanij Pokkasap ถ่ายทอด
06:00 น.แรม๕ ค่ำ เดือน ๑๑ พฤหัสบดี ที่ ๒๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๖




...พวกปฏิเสธพระพุทธศาสนาคือพวกไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์....
หรือพวกที่คิดเอาว่าคำสอนในพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่ใครก็ทำความเข้าใจได้ง่ายๆเป็นเรื่องของพวกหลงตัวเองทั้งสิ้น.

...ธรรมที่รู้ได้โดย.
จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณกายวิญญาณ และมโนวิญญาณ  คือโลกแห่งอนุภาค
ธรรมที่รู้ได้โดย..มโนวิญญาณธาตุที่เป็นอิสระไปจาก จักขุวิญญาณ.โสตวิญญาณ,ฆานวิญญาณ,ชิวหาวิญญาณ 
และมโนวิญญาณ ตามปกติ
คือโลกแห่งคลื่นและพลังงาน  เป็นที่มาของเหตุการณ์ที่พระพุทธศาสนาเรียกว่า
อภิภายตนะ และกสิณายตนะ...และเป็นที่มาของอุตริมนุสสธรรมที่เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ทั้งหมดในบันทึกของพระพุทธศาสนาด้วย.

...โง่เรื่องวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าแห่งคริสตศตรรษที่ 20 ไม่พอ
ปฏิเสธคำสอนอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา อีก
ไม่น่าเกิดมาเป็นคน นะ..เสียชาติเกิด ฝุด ฝุดเลย....

...คำสอนในพระพุทธศาสนาว่าด้วยปรากฏการณ์ความมีชีวิต
เป็นเรื่อง ไบโอฟิสิคส์ (Biophysics)  ว่าด้วยพลังงานระดับปรากฏการณ์พลังงานนิวเคลียร์ทั้งสิ้น....

...ประเพณีวัฒนธรรมที่ถือปฏิบัติในอารยธรรมโบราณที่เป็นสากลครั้งแรกของโลกที่เกิดที่ลุ่มแม่น้ำสินธุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑-๑๓ เป็นแบบจำลองมาจากปรากฏการณ์พลังงานนิวเคลียร์ ทั้งสิ้นอีกเหมือนกัน
คนที่กล่าวหาว่าประเพณีวัฒนธรรมโบราณเป็นเรื่องงมงาย...
แสดงถึง ความโง่ และการเกิดมาที่เสียชาติเกิดสิ้นดี ครับ

...สังคมที่ปล่อยให้พวกคนโง่ดังกล่าวประสบความสำเร็จมีหน้ามีตาอยู่ในระบบการศึกษาของชาติ  
คือสังคมที่อ่อนแอและแตกแยกของประเทศชาติที่กำลังรอเวลาล่มสลายด้วย...




...มีท่านผู้เขียนบางท่านที่เป็นถึงอดีตนักวิทย์ไทยอ้างว่า...
การที่ไอสไตน์ค้นพบกฎธรรมชาติอันนำไปสู่การคิดค้นทำระเบิดปรามณูในเวลาต่อมานั้น...
เป็นเหตุให้ท่านต้องไปตกนรก...แล้วก็จะเกิดมาเพื่อคิดค้นพบแบบนี้วนไปซ้ำๆๆหลายๆๆชาติเลย...ฟังแล้วมึนมากกับท่านนี้...

...มึนก็เลิกฟัง  เลิกเอามาคิดครับ   นักวิทย์แบบนั้นพูดมั่วไปทั่ว  
เอาวิทย์ เอาศาสนามารองรับความมั่วของตนเอง...มีคุณค่าต่อสังคมไทยมั้ย...
คนที่มีความรู้ขนาดนั้นแล้วไม่มีคุณค่าแก่สังคมตามความรู้ที่คิดว่ามีมากเนี่ย
พิพากษาได้เลยครับ...ว่า วิปลาศ ไปแล้ว....

...พูดด้วยความเชื่อว่า  ไอน์สไตน์มีส่วนในการผลิตระเบิดปรมาณูฆ่าคน นะสิ...พิพากษาได้งัย
รู้จักกฏแห่งกรรมในพลังงานนิวเคลียร์แค่ไหน...เด๋วผมก็มั่วบอกออกมามั่งหรอกว่า  
ไอน์สไตน์เป็นเทวดาเพื่อนกะสตีฟ จ็อบส์เท่านั้นเอง...เพราะคนที่ทิ้งระเบิดทำตามนโยรัฐสภาแห่งอเมริกา...
รู้จักแต่วิทยาศาสตร์  ไม่รู้กติกาสังคม ก็เป็น พยาธิจากปากหมาในกะลาครอบครับ.
ประเทศไทยฉิบหายเพราะคนพวกนี้...พวกที่ไปมีความสำเร็จจากเมืองนอกมานี่แหละ
ตัวการฉิบหายของระบบสังคมความรู้ของชาติแผ่นดิน..บอกได้เลย..นักวิทย์ครับ..คุณนั่นแหละที่ตกนรกแล้ว ชิว ชิว..





                                                                                                  ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

  


* Story & Photos by  Atthanij Pokkasap

No comments: