Buddha-sci-fi-muayThai-history-astrology-superstition-language-yoga-music-art-agricuture-herb-food

...I believe that meditation and healthy food are an essential human experience and should be freedom to learn too................................ Buddha-Dharma-Sangha-science-fiction-MuayThai-History-Astrology-Superstition-religion-Language-math-mind-universe-meditation-Yoga-Music-Art-Agricuture-Herb-Food...this is good health and life. All give us be Oneness. I will try to understand you and everybody around the world................ WE ALL ARE FRIENDSHIP......Truth me

Monday, January 2, 2017

23.Breaking Dharma PART 22






Breaking Dharma PART 22...!!!
....



บุคคลิกภาพแห่งฤๅษี มหาฤๅษี ในบันทึกพระไตรปิฎก.



...ศิษย์เหล่านี้  มีความปรารถนาน้อย  มีปัญญา  กินอาหารหนเดียว  ไม่โลภสันโดษด้วยลาภและความเสื่อมลาภ  เป็นผู้เพ่งฌาน  ยินดีในฌาน  เป็นผู้ถึงที่สุดอภิญญา  ยินดีในอารมณ์อันเป็นโคจรของบิดา เที่ยวไปในอากาศ...

ศิษย์ของเราเหล่านั้นยับยั้งอยู่ด้วยการนั่งคู้บัลลังก์  การยืนและการเดินตลอดราตรี   
หาผู้อื่นเสมอได้ยาก  มวลศิษย์ของเราไม่กำหนัดในธรรมที่ตั้งแห่งความกำหนัด   
ศิษย์เหล่านั้นแผลงฤทธิ์ได้ต่างๆ   ประพฤติอยู่เป็นนิตยกาล  บันดาลให้แผ่นดินไหวก็ได้

ศิษย์ของเรา  หาผู้อื่นเสมอได้ยาก   ศิษย์ของเรา ปล่อยเล็บมือเล็บเท้า และขนรักแร้งอกยาว
ขี้ฟันเลอะเทอะ  มีธุลีบนศรีษะ  หอมด้วยกลิ่นศีล  หาผู้อื่นเสมอได้ยาก
...ฯลฯ

นี้เป็น...เหล่าพระดาบส ๒๔,๐๐๐ ตน  ลูกศิษย์ของ มหาดาบสสุรุจิ แห่งขุนเขาลัมพกะ
หิมวันตประเทศ   สมัย พระอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ!!!

ในยุคพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าโคดม  คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่เรารู้จัก...
มหาดาบสสุรุจิ   คือผู้มาเกิดเป็น ท่านพระสารีบุตร....


จาก สารีปุตตเถราปทาน ที่ ๓  พระไตรปิฎก เล่ม ๓๒/๔๕ ครับ






เรื่องราวรายละเอียดทั้งหมดของฤๅษีแห่งชมพูทวีป   เป็นบันทึกที่มีอยู่เต็มในพระไตรปิฎกภาคเถรคาถา  เถรีคาถาและอปทาน ที่นักการศึกษาพระพุทธศาสนาแบบไทย-ไทย  ไม่อ่านกันเลย

...เพราะในรายละเอียดนั้น  มีเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณอยู่มหาศาล   
ที่ทำให้รู้ว่า นักปราชญ์แอบอ้างเหล่านั้นพูดเอาเอง

...เพราะข้อมูลพูดเอาเอง  ไม่ตรงกับหลักฐานที่อยู่ในบันทึกดังกล่าวนี้ ครับ.... เป็นพฤติกรรมคับแคบที่น่ารังเกียจอย่างที่สุด...ไม่น่าเชื่อว่านักศึกษาธรรมชั้นสูงที่ได้รับความเคารพเลื่อมใสอยู่ในสังคมไทยที่ผ่านมาทั้งหมด...จะมีพฤติกรรมทางการศึกษาที่เลวทรามถึงขนาดนี้...




ปกติ...แต่ดึกดำบรรพ์พระพุทธศาสนาชี้นำการเมืองมาตลอด...ไม่ใช่ตกอยู่ในอิทธิพลการเมือง   ทุกวันนี้นักบวชทำตัวตกต่ำมาก...ไม่น่าให้ราคาหรอก...และไม่น่าเสียใจด้วย...พระพุทธศาสนาถูกแคว้นมคธใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างแคว้นวัชชี....มาแล้ว

...ส่วนพระพุทธศาสนาในเมืองไทยเป็นเครื่องมือครั้งหนักๆหลายครั้ง   ไม่ว่าจะเป็นยุคสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ หรือ 
พระเจ้าทรงธรรม    แต่สมัยรัตนโกสินทร์พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมืองมาตั้งแต่ ร.๔ ครับ...ใครสร้างนรกคนนั้นก็ต้องลงนรกไป  ไม่แปลก...

...การสิ้นสุด ร.๓   เพราะ ร.  ท่านตรอมใจตายตามขุนศึกของท่าน (เจ้าคุณสิงห์...เจ้าพระยาบดินทร์เดชา)   อำนาจการเมืองตกไปอยู่ในกลุ่มอำมาตย์ใหญ่หลายคน...อำนาจจริงอยู่ในมืออำมาตย์ไม่กี่ตระกูล...ร.๕ ต้องใช้เวลาชิงอำนาจจากอำมาตย์กลับคืนมาด้วยเวลาถึง ๓๐ ปี...แต่ไม่ทัน...การสูญเสียดินแดน   เพราะท่านต้องทำศึกชิงอำนาจกับอำมาตย์ครับ

...รายละเอียดมีมากอยู่ในหลักฐานการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ร.ศ.๑๓๐  ไม่ยอมให้เรียนเลย

...จากการต่อสู้ของ ร.๕  ผู้รับช่วงการต่อสู้ คือ ร.๗   ตามมาด้วย...อจ.สัญญา ธรรมศักดิ์....เป็นสายเป็นเส้นทางดำเนินการตามแผน ร.๕ ทั้งสิ้น...น้อยคนนักจะรู้  เพราะไม่เคยรับผิดชอบต่อสังคมตามเป็นจริง...




...เรื่องราวของสมเด็จโตถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เห็นความสำคัญว่า ร.๔ เก่ง ตะหากการเมืองทั้งปึกเลยล่ะ
เพราะมีการทับถม ร.๓ ...ซึ่งไม่ควรใช่วาทะสมเด็จโต...แน่นอน...อำมาตย์ผูกเรื่องทั้งนั้น

....ต้องวิเคราะห์งานของ ร.๕ ทั้งหมด  ท่านก็พยายามแก้ไข..ยิ่ง ร.๗ ยิ่งหนักมาก   เพราะอำมาตย์มันไม่ยอม...

การเดินเกมชิงพระราชอำนาจกลับคืนจากอำมาตย์   ต้องถือว่า ร.๕ ท่านเข้าถึงยุทธศาสตร์และยุทธวิธี...แต่ท่านเปิดศึก ๒ ด้านไม่ได้...ท่านจึงพลาดท่าต่อฝรั่งเศสและอังกฤษเสียดินแดนมากจนตรอมพระทัยตายเลย

...ร. ๗ สานต่อพระปณิธาน..อำมาตย์ไหลตามกระแสโลกปฏิวัติ   พระองค์ท่านๆก็สู้ยิบตาจนมันออก พรบ.ยึดพระราชสมบัติท่านทั้งหมด  ...อำมาตย์อาศัยโครงสร้างนี้ครอบงำต่อมาจนถึง ร. ๘ และ ร.๙     ร.๙ โชคดีที่ได้ท่าน อจ.สัญญา ธรรมศักดิ์  เดินเกมส์ตามที่ ร.๗ วางแบบไว้ 
แต่พอสิ้น อจ.สัญญา  เกมส์ก็เปลี่ยน...ประชาชนจึงแตกแยกอย่างยับเยิน...ในวันนี้...

อะไรคือความเปิดเผย ของ ร.๗
< ตอบว่า...พระองค์ท่านสู้ยิบตามตามพระราชอำนาจที่เหลืออยู่น้อยนิด...คือ   เมื่อสภาของนักการเมืองออก กม. มาตั้งแต่ รธน....พระองค์ท่านจะตรวจสอบยิบว่า  พสกนิกรประชาราษฎร์ของพระองค์ท่านได้ประโยชน์จาก กม.เหล่านี้หรือไม่     
ถ้าไม่ได้...พระองค์ก็ทรงท้วง..ไม่ยอมลงพระปรมาภิไธย...นี่คือความเปิดเผยของ ร.๗... >

อะไรคือความเปิดเผยของ ร.๘
< ตอบว่า  พระองค์พอจะได้ขึ้นครองราชย์ตามเป็นจริง (ก่อนหน้า ปรีดี เป็นผู้สำเร็จราชการแทน !!!)    พระองค์ท่านหงายไพ่เล่นต่อยแลกหมัดกับนักการเมืองเลย...คือมีพระราชดำริสละราชบัลลังก์ลงมาตั้งพรรคการเมือง   ลงเลือกตั้งแข่งกะนักการเมืองตามกติกานักการเมืองทุกอย่าง   นักการเมืองมันกลัวมากกับพระราชดำรินี้  จึงทำให้พระองค์ท่านหายไปจากประวัติศาสตร์ทันที...งัย!!! >




...พวกมองโลกในแง่ดี  มันก็คือตัว "ฉันทะราคะ"  อาหารบำรุงกิเลสตัณหา...ที่ถูกต้องต้องมองโลกตามเป็นจริง...และการจะเห็นโลกตามเป็นจริงได้...ก็คือจิตที่เป็นกลางขณะได้สมาธิเท่านั้น...

(สมาธึ  ภิกฺขเว  ภาเวถ ฯ  สมาหิตสฺส  ภิกฺขเว  ภิกฺขุโน  ยถาภูตํ  โอกฺกายติ ฯ...
เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ   เพราะเมื่อภิกษุมีจิตตั้งมั่นแล้ว   สิ่งทั้งปวงย่อมปรากฏตามความเป็นจริง

จาก ชีวกัมพนสูตร ข้อ ๒๔๙  สฬายตนวรรค  สังยุตตนิกาย  ไตรปิฎก เล่ม ๑๘/๔๕)




...ปกติฌานวิสัย...เนี่ย   ปุถุชนแตะต้องด้วยจิตอกุศลเนี่ย   มันนรกตามตัวไปทุกภพทุกชาติเลยนะ...อันที่แน่ๆ เดือดร้อนคักทันตาเห็นในขาตินี้เอง...แค่เรานั่งสมาธิเป็น....

...รักเก่าที่บ้านเกิด...อนาคต  อันดีงามหลายอย่างผุดมาจากนรก...ไม่เชื่อลงไปถามท่านพระเทวทัตดูได้...พุทธันดรหน้า  ท่านก็จะขึ้นมาจากมหาอเวจีนรกแล้วท่านจะมาเกิดเป็น ผู้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธ....งัย....




...เคยไปมุงดูปาหี่ขายยามั้ย....ฤทธิ์น่ะเค้าแสดงเรียกร้องศรัทธาและความสนใจตะหาก  เค้าไม่ได้เอาไว้ปราบ...อันที่ปราบนั่น เฉพาะทรราชย์จริงๆที่เข้ามาบ้าอำนาจใส่ก่อนตะหาก... ส่วนใหญ่ตามเป็นจริงแล้ว  ก็คือเรื่องปรัมปราที่ยุบตัวลงมาเป็นปาหี่ขายยา...งั้ย...

...พิธีกรรม คือการเคลียร์พื้นที่   
ปราบผี คือจัดระเบียบให้ชัดเจน 
โหราศาสตร์ และไสยศาสตร์  คือ ยุทธวิธีเข้ายึดพื้นที่ทางจิต

...แอ่นแอ๊นนนนนน...เอางัยก็เอากัน...แต่ตอนนี้ขอหาข้าวกินก่อน....^ ^





                                                                                                ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
  

* Story & Photos by  Atthanij Pokkasap

No comments: